ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พัฒนาการทางจิต

๑๘ พ.ค. ๒๕๕๒

 

พัฒนาการทางจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โยม : หลวงพ่อขอคำอธิบายเรื่องนี้ด้วยครับ อย่างถ้าสมมุติว่า เรื่องผลของการทำสมาธิ ครูบาอาจารย์ท่านชำนาญเรื่องนี้ อะไรคือเหตุที่.... (เสียงถามไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : ได้ เมื่อสองวันนี้เสาร์-อาทิตย์ คนเยอะมากแล้วมีพวกนักวิชาการ มาหาเยอะไง มานั่งคอตกอยู่ เราก็อธิบายให้เขาไป แต่เขาจะเอาแบบชัดเจน เอาแบบให้เขารู้ไม่ใช่ชัดเจน เขาต้องการชัดเจนแต่เขาไม่รู้ว่ามันชัดเจนไม่ได้ เขาไม่รู้เรื่อง อธิบายเลยนะ

ในปัจจุบันเวลาปฏิบัติ เพราะก่อนหน้านั้นในการปฏิบัติ พวกเราจะไม่มั่นใจ เพราะมันไม่มีครูบาอาจารย์ เราไม่มั่นใจหรอก แต่เพราะมีครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านรื้อค้นมันมีความมั่นใจ พอมีความมั่นใจขึ้นมา ทุกคนพอมั่นใจขึ้นในสังคมแบบว่ามีกระแสตอบรับ

กระแสตอบรับคือทุกคนก็อยากปฏิบัติ นี้พอเวลาปฏิบัติไปมันเข้าไม่ถึงไง เราว่าเราใช้คำว่าเข้าไม่ถึงเลย คำว่าไม่ถึงเดี๋ยวอธิบายทีหลัง เพราะว่าถ้ามันถึงนะความเข้าถึง พักนี้จะพูดบ่อยมากว่าความจริงมีหนึ่งเดียว ความจริงมีหนึ่งเดียวทุกคนเข้าถึงมันต้องเหมือนกันหมด นี่ที่มันเข้าไม่ถึงมันไม่เหมือน พอเข้าไม่ถึงปั๊บคำสอนมันจะบิดเบือนไป

นี้พออยู่ไป เขาก็ปฏิบัติไปแล้วก็มาถาม เขาเอาแม่ชีหัวหินเราไปฟัง แล้วกลับมาเขาก็ถามเลยเขียนโน้ตขึ้นมาเลยบอกว่า ให้หลวงพ่ออธิบายถึงว่าปัญญาอบรมสมาธิที่เป็นสัมมาหรือเป็นมิจฉา แล้วที่พวกเขาดูจิตกันอยู่นั่นมันเป็นสัมมาไหม? เราบอกมันเป็นมิจฉาหมด มันเป็นมิจฉาทั้งๆ ที่เราปฏิบัติ อย่างที่เราอธิบายว่ามันเป็นสัมมาก็เป็นมิจฉา เป็นมิจฉาไปก่อน

เป็นมิจฉาเพราะอะไร เพราะเรามีอวิชชา เพราะเราไม่รู้ไง และเพราะเราไม่รู้ทาง ทีนี้วิชาการเห็นไหม ทางทฤษฎีก็ต้องอธิบายมาให้เข้าใจสิ ถ้าอธิบายให้เข้าใจแล้วผมจะเข้าใจ พอผมเข้าใจแล้วผมจะปฏิบัติด้วยความมั่นคง ทางทฤษฎีมันเป็นสมมุติมันเป็นโลกทั้งหมด เป็นโลกที่เราอธิบายด้วยตรรกะ

ทฤษฎีใช่ไหม พิสูจน์ทางทฤษฎีหรือยัง เรายังไม่ได้พิสูจน์ทางทฤษฎีคือเรายังไม่เคยทำสมาธิ เราจะพูดขนาดไหนก็เป็นทฤษฎีใช่ไหม นี่พอบอกว่าพูดมาให้ถูกต้องสิ ให้ถูกต้อง พูดจนตายเพราะเราไปพูดถึงผลที่มันจะเป็น ทฤษฎีนั้นมันจะตอบผลที่มันจะเป็นนั้น แต่ผลยังไม่เป็น จริงไหมเพราะเรายังไม่ได้ปฏิบัติ แต่มันเป็นผลของครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมาแล้ว

ทีนี้อธิบายของครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมาแล้วท่านอธิบายได้ถูกต้องหมด แต่คนฟังไม่รู้เรื่อง อธิบายชัดเจนแล้วนะ ลูกศิษย์มีเยอะมาก พอเราพูดถึงอธิบายถึงความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด หรืออธิบายเรื่องกฎ เรื่องข้อเท็จจริงของจิต ของพลังงานของความคิดต่างๆ เราพูดทุกๆ วันเลย แต่เขาไม่ซาบซึ้งหรือเข้าไม่ถึงประเด็นนั้น

พอเข้าถึงประเด็นปั๊บนะ เขาจะพูดกับเราเลย โอ้โฮ วันนี้หลวงพ่อเทศน์ดีสุดๆ เลย ผมอยู่กับหลวงพ่อมาตั้งหลายปีหลวงพ่อไม่เคยเทศน์อย่างนี้เลย ทั้งๆ ที่พูดทุกวันเห็นไหม แต่เพราะเข้าไม่ถึง

อันนี้จากนักวิชาการนี้ เขาบอกว่าอธิบายมาให้เข้าใจสิ เราสงสารนะ เราสงสารที่ว่าเราจะอธิบายให้เขาเข้าใจไม่ได้ เราอธิบายผู้ที่อธิบายเข้าใจได้ เพราะเราอธิบายโดยหลักการของเราเราเข้าใจได้ แต่ผู้รับเข้าใจไม่ได้ พอเขาเข้าใจไม่ได้ เขาก็คิดว่าคนที่อธิบาย อธิบายไม่เป็นความจริง

แต่ความจริงคือวุฒิภาวะของเขาเข้าไม่ถึง พอเข้าไม่ถึงปั๊บเขาก็เลือกผิดเลือกถูก ชี้ผิดชี้ถูกตรงนี้ไม่ได้ พอไม่ได้เขาก็เถียงกลับ เขาเถียงกลับเลยว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติไปเขาไปดูจิตกัน โอ้โฮ สุขมาก ว่างมาก ปล่อยวางมาก ทุกอย่างมีผลหมดเลย

เขาพูดว่าแล้วปฏิบัติอย่างพวกเราเครียดมาก ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วบอกผลมันเป็นอย่างนี้ ผลมันตอบรับเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาเป็นไปพอเขาไปปฏิบัติกันแล้วเขาจะปล่อยวางๆ เขาจะว่างๆ ว่างๆ มันว่างอย่างนั้น มันเป็นสามัญสำนึกมันเป็นข้อเท็จจริงของจิต

ข้อเท็จจริงของจิตตามธรรมชาติของมัน อย่างเช่น เรามีความเสียใจมาก เอาชัดๆ เลยคนรักเราตายไป คนรักเราคู่ครองเราเสียไปเราจะมีความเสียใจมาก เราแทบจะเป็นจะตายเลยจริงไหม เพราะความเสียใจสุดซึ้งเลย แต่พอใช้กาลเวลาทุกอย่างมันประสานขึ้นมา ความทุกข์อันนี้มันจะจางลงไหม ธรรมดาจริงไหมมันต้องจางเป็นธรรมดา

โดยความคิดของคนความคิดที่มันทุกข์ยาก ที่มันฟุ้งซ่าน ธรรมชาติของมัน มันคิดไปพลังงานมันไปใช้แล้ว มันต้องหยุดเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว ทีนี้พอเรามาศึกษาธรรมะด้วยตรรกะเห็นไหม แล้วเรามาศึกษาธรรมกัน พอจิตใจเรามันดูดดื่มมันซึ้งในสัจธรรมของพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยวางเป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่จิตมันเป็นอยู่แล้ว

ทีนี้สิ่งที่เป็นอยู่แล้ว เขาเรียกว่าสมมุติไง เป็นโลกียะ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงทางจิต แต่พวกเรายังไม่ได้ปฏิบัติ ปฏิบัติยังไม่ถึงจุดนั้น พอมาเจออาการที่มันหยุดโดยธรรมชาติของมัน มันว่างๆ อย่างนี้ ก็บอกว่านี่ไงสมาธิ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ ความว่างอย่างนี้ไม่ใช่สมาธินะ

ถ้าเป็นสมาธิ คนที่เป็นสมาธิจะรู้ว่าเราเป็นสมาธิ ทีนี้พอเขาว่างๆ โดยความเข้าใจผิด เขาว่าเป็นสมาธิใช่ไหม แต่เวลาเขาไปถามอาจารย์ ว่าอาจารย์ทำอย่างไรต่อมันว่างๆ ว่างๆ เห็นไหมมันไม่เป็นสมาธิแล้ว พอเป็นสมาธิแล้วเราจะรู้ว่าเราเป็นสมาธิแล้ว จิตเราจะมีความรู้สึกว่าเราได้สัมผัส

นี่ไปถึงว่ามันว่างๆ สบายๆ เราจะบอกว่าผู้สอนยังไม่รู้จักสมาธิเลย แล้วก็ไปบอกเขาให้ดูจิตจนมันปล่อยวาง มันว่าง พอปล่อยวางมันว่างเป็นโลกใช่ไหม พอเป็นโลกเขาบอกว่าให้ดูไปมันจะเกิดอาการ มันก็เหมือนเราเราเพ่งไปที่ถนนเวลาแดดกล้าๆ สิ แดดกล้าๆ เรานั่งมองที่ถนนสิถนนมันจะมีไอแดด มันจะมีพยับแดด มันจะมีรูปร่างเป็นไอเป็นกลุ่มควันของมัน

จิตเราเพ่งอยู่เฉยๆ มันเป็นอย่างนั้น มันจะเกิดภาพ เกิดการกระทำต่างๆ แล้วพอเกิดภาพอย่างนั้นเขาว่ามันเป็นปัญญานะ ไม่ใช่! ไม่ใช่! นี่ไงเราจะพูดว่าทางวิชาการที่เขาไปปฏิบัติกัน เขาจะยืนยันกันว่ามันถูกต้อง มันว่าง มันปล่อยวางหมดเลย มีความสุขมาก มีความสุข

เหมือนคนรักเราตายไป ทุกข์มากแสนสาหัสเลย แต่กาลเวลามันทำให้เราหายขึ้นมาได้ โดยธรรมชาติของมัน แล้วนี่ก็เหมือนกันเวลาเราฟุ้งซ่านเราทอดทิ้งศาสนา เราเป็นชาวพุทธกันแท้ๆ เลยแต่เราทอดทิ้งศาสนา เราไม่สนใจเลย แล้วยังสบประมาทด้วยนะ

ทางโลกเขาจะมองมาที่พระว่าพระเป็นผู้ที่ไม่สู้สังคม หลีกหนีสังคมมา โดยกิเลสมันเยาะเย้ยถากถางอยู่แล้ว มันเชื่อทั้งศาสนาด้วยไม่เห็นด้วยกับการที่ประพฤติปฏิบัติด้วย มันก็กระด้าง แต่พอเรามีความทุกข์แล้วมีพระองค์หนึ่งมาเสนอทฤษฎีที่มันเรียบง่ายเราคิดว่าเราพอทำได้มันก็ตื่นเต้น พอไปทำเข้า โอ้โฮ ว่างๆ เห็นไหม

เริ่มต้นเราก็ทอดทิ้งศาสนาเราก็ไม่สนใจมัน เวลาเราจะปฏิบัติมัน เราก็ปฏิบัติโดยโลกโดยกิเลสเสีย แล้วยังบอกว่าอย่างนี้เป็นคุณธรรมด้วย แต่ถ้าเป็นความจริง เป็นความจริงครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง พอเป็นความจริงความจริงมันจะเกิดของมันขึ้นมา แล้วความจริงอันนั้นเราได้มาได้อย่างไร

อย่างเช่นเราทำงานกัน เราจะประสบความสำเร็จทางงาน เราต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน ดูสิเราจบการศึกษามาด้วยกัน เวลาเราทำงานมีดาวรุ่งคนไหนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ ในรุ่นๆ หนึ่งมันจะมีกี่คน หน้าที่การงานเห็นไหมมันยังมีเชาว์ปัญญาของมัน แล้วนี่เราปฏิบัติกันเราลงทุนลงแรงขนาดไหน มันจะเป็นขึ้นมาได้ขนาดไหน แล้วจะบอกว่าง่ายๆ ง่ายๆ อย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

เขาบอกว่างๆ เราพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจนะ ทั้งๆ ที่เราสงสารเขามาก สงสารตรงไหนรู้ไหม สงสารคือเราพยายามชักนำมาให้ถูกทาง ที่เราสลดสังเวชอยู่ในปัจจุบันนี้ เราสลดสังเวชที่ว่าพวกเราโดนเขาชักนำไปในทางที่ผิดทาง

มันเหมือนเราเป็นอาจารย์สอน เราเป็นครูสอนเด็ก แล้วเด็กมันศึกษาทฤษฎีที่ผิดพวกเราจะเศร้าใจไหม เพราะมันศึกษาทฤษฎีที่ผิดมา การกระทำของมันเริ่มต้นกระบวนการมันผิดแล้วเป้าหมายจะถูกได้อย่างไร แล้วทฤษฎีมันผิดมาแล้วกระบวนการมันผิดไปแล้ว แล้วหลักความจริงของศาสนามันจะเหลืออะไรไว้ไหม

ทีนี้เราก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งในศาสนาใช่ไหม เราพูดความจริงอย่างนี้เขาหาว่าเรารุนแรงๆ แต่ความจริงมันไม่ใช่เราชี้ถูกชี้ผิด เราก็เป็นนักวิชาการคนหนึ่งในวงการวิชาการทางศาสนาเราก็สามารถชี้ได้ว่า ถูกผิดเราก็มีสิทธิ์จะชี้ได้ เราชี้ไปแล้วทำไมว่าเรารุนแรง ทำไมว่าเราไปโจมตีคนอื่น เราไม่ได้โจมตีใครแต่เราชี้ความถูกความผิดของข้อเท็จจริงนั้น เราไม่ได้ว่าใครนะ เราว่าถึงทฤษฎีตามข้อเท็จจริงที่ประพฤติปฏิบัตินั้น

ฉะนั้นสิ่งที่บอกว่างๆ ว่างๆ เราจะบอกว่าวุฒิภาวะของเขาเข้าไม่ถึงสัจธรรม แต่พอเขาได้สัมผัสอารมณ์อันนั้นเขาเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม ถ้าทางศาสนาเขาเรียกว่าสัญญาอารมณ์ไม่ใช่ความจริง เป็นสัญญาเป็นข้อมูลของจิตไม่ใช่ตัวจิต แต่พอจิตสงบเข้ามามันจะเป็นตัวจิตเห็นไหม มันต้องเป็นภวาสวะ

เมื่อวานมีคนมาถาม ลูกศิษย์เขานี่แหละ พวกนี้พวกผู้หญิงพวกพยาบาลเขาเขียนขึ้นมาเลยบอกว่า จิตเวลาเราภาวนาไปจิตมันเห็นนิมิต ว่าตัวเราไปนั่งอยู่กลางดวงอาทิตย์ นั่งอยู่กลางดวงอาทิตย์เลยแล้วจะทำอย่างไรต่อไปให้พ้นจากกิเลส

เราก็บอกว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าเราจะไปนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ พลังงานของมันร้อนขนาดนั้นอะไรเข้าไปไม่มีเหลือหรอกมันเผาไหม้หมด แต่ในทางนิมิตเป็นไปได้ ในทางนิมิตเพราะมันไม่เป็นความจริง

คำว่านิมิต นิมิตคือเป้าหมายบอกเหตุไม่ใช่ความจริง ถ้านิมิตเป็นอย่างนั้นปั๊บเขาบอกว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากภพไง เราบอกว่าสิ่งที่เห็นเรายกเลย นิมิตที่เห็นนะเห็นโดยนิมิตความเป็นจริงอันหนึ่ง เห็นโดยอุปาทานอันหนึ่ง เห็นโดยสัญญาอารมณ์อันหนึ่ง เห็นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันหนึ่ง เห็นโดยสิ่งที่มารมาหลอกอันหนึ่ง

นิมิตที่เห็นเรามีมูลฐานที่เห็นนิมิตเยอะแยะเลย จิตหนึ่งเดียวนี่แหละ แต่การเห็นข้อมูลมันเห็นแตกต่างมหาศาลเลย ทีนี้ถ้าแตกต่างมหาศาลมันอยู่ที่ครูบาอาจารย์จะเป็นหรือไม่เป็น ถ้าครูบาอาจารย์เป็นนะเราต้องกลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ผู้ที่รู้นิมิตผู้ที่รู้เห็นนั้น ถ้ากลับมาที่นี่ปั๊บถ้านิมิตของปลอมมันจะดับไป นิมิตของจริงมันจะอยู่ นิมิตของปลอมมันจะดับไปๆๆ

ถ้าเห็นนิมิตนะ เพราะนิมิตใครไปเห็น สิ่งที่ดับไปเหลือไว้คือภพ เขาบอกนี่ไงที่จะละกิเลสที่จะพ้นจากกิเลสได้ ไอ้ตัวนี้มันจะละพ้นกิเลสได้ ที่ละกิเลสได้เพราะอะไรเพราะเป็นสัมมาสมาธิ ได้เข้ามาที่สมาธินี่ไง การเห็นนิมิตจิตมันกระบวนการเขาเรียกกระบวนการของจิตที่มันจะเปลี่ยนแปลง กระบวนการของจิตโดยปกติเราเป็นปุถุชน จิตสามัญสำนึกเราเป็นอย่างนี้

เราจะเห็นโดยข้อเท็จจริงเป็นปกติของความรู้ความเห็นโดยอายตนะ แต่พอจิตมันเข้ากระบวนการของจิตเราพุทโธหรือเราภาวนาไปกระบวนการของจิตมันเริ่มละเอียดเข้ามา โดยข้อเท็จจริงแล้วเราจะบอกเลยนะในทางหลักของศาสนาว่ามนุษย์เรามีกายกับใจ เราก็จะแบ่งว่ากายกับใจแยกกันตายตัวเลย ไม่ใช่ ไม่ใช่

ในปัจจุบันนี้กายกับใจ ในศาสนาบอกเรื่องกายกับใจ แต่กายมันขังใจไว้ ใจนี่อุปาทานยึดกายไว้ ระหว่างกายกับใจมันสมานกันมันเกี่ยวเนื่องกันจนเป็นอันเดียวกัน ไม่แยกหรอก ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา มันปล่อยวางเข้ามามันถึงมีอาการรับรู้

อาการรับรู้ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิมันปล่อยกายเลย คือจิตสงบเข้ามาจนไม่รับรู้เรื่องกายได้ ไม่รับรู้เลย จิตเป็นอิสระเลยโดยตัวของมันเอง แต่ถ้ามีสมาธิรับรู้นะ แต่ถ้าไม่เป็นสมาธิมันไม่รู้หรอกมันเป็นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้น ถ้าเรากำหนดพุทโธจนจิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตเห็นและภาวนาไปจนเห็นนิมิตว่าตัวเองไปนั่งอยู่กลางดวงอาทิตย์

เขาถามปัญหาแล้วเราจะภาวนาอย่างไรให้พ้นจากกิเลส ให้พ้นจากภพชาติ คำว่าพ้นจากภพชาติมันก็ต้องทำความสงบเข้ามาที่ตัวภพนั้น คือตัวสมาธินั้น เพราะตัวภพคือตัวสถานที่นั้นมันจะทำลายตัวมันเองเพื่อให้พ้นจากภพชาติใช่ไหม ภพชาติไปทำลายที่อื่นไม่ได้เลย ไปทำลายที่อื่นไม่ได้ ไปทำลายที่อื่นคือเป้าหมายที่ผิด

ดูสิเราตอบโจทย์ผิด เราใช้หนี้ผิด เรากู้หนี้บุคคลคนหนึ่งเราไปใช้หนี้ให้บุคคลอีกคนหนึ่งมันจะปลดหนี้เราได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ เรากู้หนี้สินกับใครมาเราใช้ให้กับบุคคลคนนั้น ภวาสวะตัวจิต ปฏิสนธิจิต ตัวที่อวิชชาตัวที่พาเกิดพาตายคือตัวต้นเหตุ .

ฉะนั้นเราจะชำระล้างมัน เราก็ต้องกลับมาที่ตัวต้นเหตุ นี่ไงสมาธิถึงมีความสำคัญอย่างนี้ไง แล้วถ้าเป็นสมาธิคนที่ปฏิบัติมาแล้วสมาธิมันแก้กิเลสไม่ได้ก็รู้ๆ กันอยู่ ถ้าปฏิบัติเข้าไปมันก็เห็นของมันอยู่สมาธิมันแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิเราก็ไม่มีพื้นที่ที่จะเริ่มต้นทำงานการชำระกิเลสที่ไหน

ฉะนั้น บอกว่าว่างๆ ว่างๆ มันไม่ใช่สมาธิ หมายถึงคำว่าไม่ใช่สมาธิมันเป็นความคิด ความคิดไม่ใช่จิต! ความคิดไม่ใช่จิต! เราดูความคิด ความคิดเกิด ความคิดดับ ความคิดเกิด ความคิดดับไปมันก็ว่างๆ เราคิดให้มันว่างไง พอคิดให้ว่างแต่ตัวจริงคือไม่ว่าง อย่างเราใช้ไหว้วานให้คนอื่นไปทำงานแทนเราไม่ใช่เรา

ทีนี้พอคนอื่นไปทำงานรับผิดชอบไหม ถ้ารับผิดชอบเราเป็นคนสั่งไปเราต้องรับผิดชอบใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน จิตมันใช้ความคิดไปทำงาน ความคิดมันก็ไปทำงาน อ้าว แล้วพอความคิดไปทำงานมันก็ทุกข์มันก็ยาก ถ้าคนมันโง่อยู่มันก็รับผิดชอบไปหมด แต่ถ้าคนมันฉลาดอยู่มันก็สลัดทิ้ง ผู้ที่ไปทำงานก็ไปทำงาน ตัวเราก็เป็นตัวเรา มันก็สลัดทิ้งมันก็ปล่อยวางได้ ปล่อยวางความคิดแล้วตัวจิตล่ะเป็นสมาธิหรือยัง

นี่ไงที่ว่าว่างๆ ว่างๆ ของเขา มันเป็นว่างๆ ว่างๆ ที่เขาคิดให้ว่าง ความคิดที่มันคิดแล้วมันทุกข์ไง เหมือนเฟือง จักรของเฟืองถ้ามันหมุนเข้าไปมันก็ต้องให้พลังงานของมันไป ถ้าเฟืองนั้นมันหยุดล่ะ เฟืองเป็นเฟืองใช่ไหม แต่สิ่งที่เป็นเฟืองมันไปจากไหนล่ะ มันไปจากจิต พอไปจากจิตเพราะความว่างของเขา ความว่างของเขามันว่างอย่างนั้น

ถ้าพูดถึงคนมีวาสนานะมันพิจารณาของมัน มันดูของมันแล้วจิตเป็นสมาธิขึ้นมาได้ มันก็เป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาเป็นสมาธิเพราะอะไร เพราะคำว่ามิจฉา-สัมมา สัมมาทิฐิ ทิฐิที่มีปัญญาที่มีความรู้ที่มีความเห็นที่ถูกต้อง ความที่ถูกต้องผลที่เกิดขึ้นมามันจะไปถูกต้องชอบธรรม

ถ้าทุกความเห็นของเราเป็นมิจฉาสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสมาธิด้วย แต่เพราะความเห็นผิดของเรา เริ่มต้นกระบวนการความเห็นผิดของเราต้นมันคดเห็นไหมมันก็ต้องปล่อยวางไว้อย่างนั้นโดยที่มันเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าทำได้นะ ถ้าทำได้คำว่ามิจฉามันจะไม่เข้าองค์ประกอบของมันของมรรค ถ้าเป็นสัมมามันจะเข้าองค์ประกอบของมรรคเพราะมันเป็นสัมมา เพราะมันเป็นความถูกต้องใช่ไหม

อย่างเงิน อย่างแบงก์ปลอมเอาไปใช้อะไรได้ แบงก์ปลอมเราเอาไปหลอกใช้ได้ใช่ไหม คนที่โง่คนที่เขาไม่เข้าใจแบงก์ปลอมเราสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ แต่คนที่เขารู้จริงเขายอมรับแบงก์ปลอมไหม คำว่ามิจฉากับสัมมาก็ตรงนี้ไงแบงก์แท้ แบงก์จริงกับแบงก์ปลอม

ถ้าแบงก์ปลอมขึ้นมา สมาธิเหมือนกัน ถ้าเป็นมิจฉาขึ้นมา ทั้งๆ ที่มันก็เหมือนแบงก์เหมือนกัน แต่เพราะมันเป็นของปลอม ของปลอมเพราะอะไรเพราะมันขาดสติ เพราะสติไม่เข้าใจ พอสติไม่เข้าใจ อย่างเช่น ดูสิดูของเราที่มีคุณค่า เวลาเราเก็บเราเก็บไว้ที่ไหน เราเก็บไว้ที่ที่ปลอดภัยใช่ไหม แล้วของที่มีค่าเราทิ้งไว้นอกบ้านมันจะปลอดภัยไหม

นี่ไงถ้ามีสติ สติสัมปชัญญะ สัมมาสมาธิคือความปลอดภัย คือความชอบธรรม สิ่งที่ชอบธรรมทำอะไรมันก็ชอบธรรมไปหมด ถ้าของเราไม่ชอบธรรมเอาไว้หน้าบ้านเอาไปไว้ต่างๆ มันเป็นของ ทั้งๆ ที่ของเรามีค่าเรายังไม่รู้จักว่ามันมีค่าหรือไม่มีค่าเลย เราไม่รู้จักเก็บรักษาเราไปทิ้งไว้ให้มันสูญหายไป พอสูญหายไปแล้วเป็นไง แล้วก็มาเสียใจทีหลัง

พูดถึงกระบวนการของมันเยอะนะ กระบวนการเราถึงบอกว่ากระบวนการของจิตที่มันเปลี่ยนแปลงเราไม่ได้คิดว่าเรา อย่างกระบวนการที่เขาสอนว่างๆ ว่างๆ มันสูตรตายตัว ทฤษฎีที่ตายตัว ทุกคนนึกให้ว่างก็คือว่าง ก็มีอยู่สูตรเดียว ดูจิตให้ว่างไง ทุกคนคิดให้ว่างก็คือว่าง

เหมือนอาหารในท้องตลาดมีอยู่อย่างเดียวชนิดเดียว ประชาชนในประเทศนั้นคงแบบว่าไม่มีปัญญาเลยเหรอ ทำไมดักดานกินแต่ของชนิดเดียวอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงกินอย่างอื่นบ้างเลยหรือ

นี่ก็เหมือนกันเราจะบอกถ้าเราเข้าใจกระบวนการของจิตที่มันจะเปลี่ยนแปลงนะ กระบวนการของจิตที่เปลี่ยนแปลงเช่น ครูบาอาจารย์ของเราสอนพุทโธๆ พุทโธๆ มันเป็นสมมุติทั้งนั้น

เราพูดกับโยมนะเวลาที่เขามาถามเรื่องการกรวดน้ำเรื่องอะไรต่างๆ เรื่องพิธีกรรม เราบอกเขาของหลอกเด็ก เราบอกโยมเลยของหลอกเด็ก ถ้าพูดว่าเป็นของหลอกเด็ก โดยปรมัตถธรรมนะ แต่ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรมนี่ของจริงแต่เป็นของหลอกเด็ก

อย่างเช่น กรวดน้ำเขาบอกว่าการกรวดน้ำพวกเราทำบุญกุศลแล้วเราต้องกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับปู่ย่าตายาย ให้กับญาติโกโหติกาของเรา แต่เพราะเราห่างกับศาสนาจิตใจเราไม่มั่นคงจิตใจเราวอกแวกมาก เขาถึงต้องเอาน้ำมารินแล้วให้เราเพ่งที่น้ำนั้นให้จิตใจเรามั่นคง

ถ้าจิตใจเรามั่นคงอุทิศส่วนกุศลมันได้ชัดเจน แต่ถ้าคนที่เขาทำอย่างพระกรรมฐานของเรามันทำจนคล่องชำนาญการแล้วพอให้พรปั๊บเขานึกเลย พอนึกเลยมันเป็นของจริงตัวจริง ตัวจริงคือตัวใจไง อย่างกรวดน้ำ ความปรารถนาเขาคือจะให้เราเพ่งน้ำให้จิตมันมั่นคงเท่านั้น แต่ตัวกรวดน้ำไม่มีบุญหรอก

บุญมันเกิดจากการเสียสละทานนะ ถ้าบุญมันเกิดจากการกรวดน้ำรินน้ำ เราไปเอาน้ำมารินกันทั้งวันเลย เอาน้ำมารินกันแล้วก็อุทิศทั้งวันเลย กูจะรินทั้งวันเลย เพราะกูได้บุญแล้ว กูไม่ต้องลงทุนด้วย แล้วมันจะเป็นบุญไหม แล้วหลอกเด็กไหม เขาหลอก

คำว่าพระพุทธเจ้าท่านวางธรรมวินัยไว้ วางประเพณีวัฒนธรรมไว้ ท่านหลอกคนที่ไม่เข้าใจให้มันพัฒนาขึ้นมามันเหมือนกับว่าประเพณีวัฒนธรรมสอนเด็กๆ สอนคนที่ห่างไกลแล้วให้เข้ามาใกล้ศาสนา ถึงที่สุดแล้ววัฒนธรรมทิ้งหมดเลย วางหมดเลย นี่ไงสิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมมันหลอกเด็ก

หลอกเด็ก คือหลอกใจเรายังที่ยังเด็กๆ ไง ยังโง่อยู่ต้องเอาวัฒธรรมประเพณีนี้หลอกมันให้มันรู้จักพัฒนาของมัน พุทโธก็เหมือนกัน พุทโธก็หลอกเด็ก หลอกใจมึงไง มันขี้เกียจ พุทโธๆๆ ท่องบ่นไว้ พุทโธนี่สมมุตินะ พุทโธต้องนึกเอา แต่เวลาครูบาอาจารย์หลวงตาท่านพูดประจำ พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ นึกพุทโธคำเดียวสะเทือนถึง กามภพ รูปภพ อรูปภพเลย

เพราะในจิตในจักรวาลในวัฏวนเรา ทุกคนปรารถนาถึงซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ แล้วทุกคนแม้แต่นึกถึงพุทโธคำเดียว พุทโธคือ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันสะเทือนถึงคนที่ต้องการปรารถนาทุกๆ คนไหม

อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปเยี่ยมญาติ แล้วก็เห็นว่า บ้านเขาทำงานกันมหาศาลเลย

“นี่เขาทำอะไรกัน” นึกว่ามีงานเลี้ยง

“ไม่ใช่ จะเลี้ยงพระพุทธเจ้าพรุ่งนี้”

“ฮ้า พุทธะหรือ”

อนาถะนอนไม่ได้เลย ตื่นตลอดเวลาจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ได้ ญาติบอกไม่ได้พรุ่งนี้เช้าก่อน มันเร่าร้อนมาก เพราะอะไรเพราะแรงปรารถนา เพราะตั้งอธิษฐานมา

แล้วคำว่าพุทธะทุกคนสมัยก่อนพุทธกาลทุกคนต้องการตรงนี้มาก แต่ไม่มีใครรู้จักพุทธะ แล้วพุทธะอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้จัก

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาไม่มีใครรู้จักหรอก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าเป็นคนสอนถึงจะรู้จักพุทธะ พุทธะคืออะไร พุทธะคือ ธาตุรู้ สสารรู้ จิตวิญญาณนี้เป็นสสารอันหนึ่งนะธาตุรู้นี่

“ธาตุรู้” เป็นนามธรรมที่เราไม่เห็นแต่พระพุทธเจ้ารู้ พระพุทธเจ้าเห็น พระพุทธเจ้าเข้าไปถึงจุดนี้ได้พระพุทธเจ้าถึงเอาตรงนี้มาชำระกิเลสได้ ตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณ

บุพเพนิวาสานุสติญาณจิตสงบเข้าไปแล้วเข้าไปเห็นข้อมูล เข้าไปถึงจิตถึงภวาสวะถึงภพ ถึงจิตเดิมแท้ พอเข้าไปแล้วยังทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่เข้าไปรู้ไปเห็นก็ยังจับอะไรไม่ได้ เหมือนเราไก่ได้พลอยยังเงอะๆ งะๆ อยู่ พอถึงลึกเข้าไปอีก จุตูปปาตญาณ ไก่ได้พลอย พลอยมันยังเอาไปซื้อไปขายแลกเปลี่ยน ยังไม่ได้อีก อาสวักขยญาณทำลายหมดเลย ทั้งไก่ทั้งพลอยมันเป็นคุณธรรมทั้งหมดรวมตัวเป็นมรรคญาณทำลายกิเลส นี่ไง นี่พุทธะ

ถ้าพูดถึงทางโลก พูดถึงสมมุติเราจะบอกสมมุติก่อนว่าพุทโธนี่ก็สมมุติ ถ้าจิตใจของเราเป็นโลก เราจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่คำว่าสมมุติ เพราะถ้าเขายืนยันกันด้วยข้อเท็จจริงว่าพุทโธก็สมมุติเพราะนึกขึ้นมา นึกขึ้นมาเพราะอะไร เพราะจิตใจเรามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จิตใจเราหยาบช้า เราถึงไม่รู้สิ่งใดมีคุณและไม่มีคุณ

จิตใจที่มีคุณประโยชน์ จิตใจของครูบาอาจารย์ที่ท่านเข้าถึงธรรม ท่านกราบพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจ ท่านจะเทิดทูนบูชาไว้สุดหัวใจ มันอยู่ที่วุฒิภาวะของใจ ที่ใครเห็น ใครมีมุมมองของใคร มุมมองของตัณหาความทะยานอยากมันจะมุมมองว่าเป็นสมมุติ ใช่สมมุติ สมมุติเพราะอะไร สมมุติต้องสอนผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เพราะเราก็มาจากสมมุติ ทั้งๆ ที่พูดเมื่อกี้นี้ว่ากายกับจิตเป็นอันเดียวกัน

ในเมื่อเกิดเป็นสถานะของมนุษย์แล้วกายกับจิต ลมหายใจขาดเท่านั้น จิตกับกายถึงแยกออกจากกันเพราะจิตออกจากร่าง ทำบุญกุศลเราจะพูดกันประจำเลยว่าคนทำชั่วพวกไอ้คอรัปชันทำไมเวรกรรมมันไม่ให้ผลมันสักที แต่เวลาจิตลมหายใจมันขาดมันต้องให้ผลทันทีเลย เพราะมันต้องไปตามอำนาจวาสนา ตามเวรตามกรรมของมัน

แต่ในปัจจุบันเหมือนสิทธิไง เหมือนสิทธิวาระยังไม่จบ สิทธิในชีวิตนี้ที่เราได้ชีวิตนี้มาเพราะบุญกรรม เพราะเราสร้างกรรมดีมาเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วสิทธิที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เรายังไม่ตายใช่ไหม บุญเก่ามันเสริมเราอยู่ วันไหนชีวิตเราขาดตูมมันไปตามแรงขับแล้ว สถานะที่เราได้มาจบ มันต้องเป็นสถานะใหม่ที่เราสร้างเวรสร้างกรรมกันมา

เราจะบอกเลยว่าทำไมคนทำชั่วมันยังไม่ได้รับผลเสียที เราทำดีเกือบตายทำอยู่อย่างนั้นแล้วผลดียังไม่ได้สักที มองข้ามซะ การเกิดถ้าทางโลกเกิดแล้วเป็นทุกข์ แต่ในทางพุทธศาสนาการเกิดเป็นการเกิด การเกิดอริยทรัพย์ มนุษย์ สิทธิของความเป็นมนุษย์เกิดยากมาก

ในพระไตรปิฎกบอกไว้เลยเหมือนเต่าตาบอดมันอยู่ในทะเลแล้วมันโผล่น้ำขึ้นมา แล้วมันมีบ่วงอยู่อันหนึ่ง ถ้าอำนาจวาสนาเต่าตาบอดมันได้โผล่ขึ้นมาในบ่วงนั้นเราถึงได้เกิดมานั่งอยู่นี่ไง แล้วสิทธิอันนี้มันสำคัญไหม สำคัญที่ว่าสิทธิอันนี้ โจรมันเกิดมาเป็นมหาโจรมันก็ไปปล้นไปทำลายเขา

แต่เวลามหาบุรุษเกิดขึ้นมา เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันสร้างสมบุญญาธิการ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในโลกนี้มหาศาลขนาดไหน ชีวิตหนึ่ง แล้วชีวิตนี้เรามาปฏิบัติชีวิตนี้เราเอาจริงเอาจังเราสามารถพลิกแพลงเราสามารถเห็นจิตของเราแล้วเราทำลายอวิชชาให้จิตนี้พ้นจากแรงขับของกิเลสมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากเลย

นี่ไงเราจะบอกว่าชีวิตสำคัญตรงนี้ แล้วเราว่าเราเกิดมาแล้วไอ้ที่เกิดมานะนี่เลยที่ออกไปทำมาหากิน มันทุกข์ยากเพราะอะไร เพราะเราโง่ไง เราไปยึดไว้เองไง เราทิ้งมันสิ ทิ้งมันแล้วเราหาความจริงในร่างกายเรา อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่ป่าก็อยู่ได้ แต่นี่เราเป็นห่วงเองว่าชีวิตเราจะอยู่กันไม่ได้เราต้องมีอาชีพไง

แต่ถ้าเป็นอย่างภิกษุนี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง มีบาตรใบเดียว เราเคยพูด เราเคยไปเทศน์กับบ้านนอกไง ธุดงค์ไปเราก็บอกเขาให้ประพฤติปฏิบัติไม่ให้ทุกข์ยากกับปัจจัย ๔ เขาสวนกลับมาเลย ก็พวกหนูไม่เหมือนหลวงพ่อนี่ เพราะหลวงพ่อมีหม้อวิเศษ เช้าก็เต็มๆ พวกหนูมันทุกข์ เวลามันย้อนกลับมาพูดไม่ออกเลยนะ

นี่ไงความคิดของโลก ก็หลวงพ่อมีหม้อวิเศษ แต่สำหรับเราบาตรเห็นไหม บาตรมันหมายถึงอาหาร นี่หม้อวิเศษ นี่หม้อวิเศษเราก็อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมหม้อวิเศษ มันจะวิเศษไหม นี่ถ้าพูดถึงเห็นไหมเราโง่เอง เราออกไปทุกข์เอง ถ้าเราฉลาดขึ้นมา เราฉลาดอยู่ที่ตรงไหน สิ่งที่ได้มาเราเกิดตาย เกิดตายกันมาไม่มีต้นไม่มีปลาย

การครองเรือนการมีชีวิตอยู่การเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันไม่มีที่สิ้นสุด เราเคยเกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้มาแล้วไม่รู้เท่าไร แล้วเราก็มาซ้ำรอยเดิม แต่เราก็ตื่นเต้นว่าของใหม่ เราเป็นวัยรุ่นอยากจะมีอยากจะให้ประสบความสำเร็จ เอ็งตายทิ้งอย่างนี้มาหลายรอบแล้ว ของเก่าๆ เอ็งทั้งนั้น แต่เอ็งไม่รู้เอ็งไม่เห็น กิเลสมันบังไว้อย่างนี้ แล้วเราไม่รู้หรอก

แต่ถ้าเราเอาชีวิตนี้มาประพฤติปฏิบัติเห็นไหมแล้วถึงความจริงของเรา เราจะเห็นข้อมูลของมัน แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติแล้วมันไปไม่ถึงที่สุด อันนั้นก็เป็นวาสนาบารมีนะที่เราจะต้องเพิ่มต้องเสริมขึ้นไป สิ่งที่เสริมขึ้นไปเห็นไหม กระบวนการที่มันจะเปลี่ยนแปลงมันมีเยอะ เยอะเพราะอะไร เยอะเพราะการกระทำของเราบาปบุญกุศลของเรามันมีหลากหลายมาก

ทีนี้ประสบการณ์ของจิตที่มันเปลี่ยนแปลง ดูสิดูอย่างเราทำสวนครัวเห็นไหม ทั้งสวนเลยทั้งแปลงผักเลยเวลามันเกิดขึ้นมาต้นยังไม่เท่ากันเลย ใบก็ไม่เท่ากัน ทุกอย่างก็ไม่เท่ากัน ทั้งๆ ที่น้ำท่าอากาศเหมือนกัน ปุ๋ยเหมือนกันทำไมไม่เท่ากัน

แล้วจิตของเรามันเหมือนเมล็ดพันธุ์อันหนึ่ง เวลาเกิดขึ้นมาดูสิผักมันแทงยอดขึ้นมาเห็นไหมมันจะมีกระบวนการของมัน กระบวนการของจิตที่มันจะพิจารณาไป กระบวนการของมันมีระยะผ่านของมัน

ทีนี้การรู้การเห็น เวลาปฏิบัติลูกศิษย์มานั่งหลายๆ คน บางคนก็มุมมองเขาไม่เห็นเหมือนกัน เขาก็จะบอกว่าทำไมหลวงพ่อไปยอมรับเขาล่ะ เราบอกว่ากระบวนการทั้งหมดที่ปฏิบัติมาผิดทั้งนั้น ผิดหมด! ผิดหมดเลย! แต่เรายอมรับ เรายอมรับเพราะอะไร

เหมือนเราเป็นโค้ชใช่ไหม เราต้องการช้างเผือก แล้วเอ็งเอาเด็กมาฝึกเอ็งจะบอกเด็กผิดตั้งแต่ต้นได้ไหม ไม่ได้ ก็เด็กมันไม่เป็น เราเห็นแววของมัน เราเห็นแววช้างเผือก แต่ช้างเผือกยังเล่นอะไรไม่เป็นเลย เราต้องเอาช้างเผือกมาขัดเกลา ต้องเอาช้างเผือกมาฝึกฝน

ภาวนาก็เหมือนกัน ที่เรายอมรับ เราจะขัดเกลาช้างเผือกไง กูจะดัดแปลงกูจะขัดเกลาให้มันเข้าระบบให้มันเข้าที่ แต่ไอ้พวกที่ไม่รู้บอกว่า ทำไมไปยอมรับเขาล่ะมันผิดๆ ก็มันผิดนะสิเดี๋ยวจะแก้ให้มันถูกไง กูกำลังจะแก้ให้มันอยู่ แต่การแก้มันก็ต้องค่อยๆ ใช้เวลา แก้จิตไม่เหมือนกับเราเล่นยิมนาสติกนะเราจะจับดัดแขนดัดขาให้อ่อนได้

จิตกูจะจับตรงไหนให้มึงดัดล่ะ กูต้องเคาะให้มันรู้สึกตัวนะ กูต้องตั้งสติแล้วค่อยๆ บอกแล้วต้องให้มีจังหวะ จังหวะที่มันติดเราจะใช้จังหวะอย่างไร จังหวะหมายถึงว่าถ้าเราพูดไปมันจะเบี่ยงเบนจิตเรามันจะเบี่ยงเบนเราพูดสิ่งใดไปก็จะเบี่ยงเบน แต่ถ้าขณะจิตที่มันกำลังจดจ่ออยู่กับอะไรที่มันสนใจ แล้วเราสะกิดเดี๋ยวนั้นเลย มันจะรู้ตัวเลยว่าเราไปบอกเรื่องอะไรมัน

โอ้โฮ ไม่อย่างนั้นหลวงปู่มั่นเวลาท่านแก้หลวงตา ทำไมท่านต้องรอ

“เป็นอย่างไร? จิตเป็นอย่างไรๆ ?”

“จิตยังดีเรื่อยๆ” พอมาถึงที่สุด “ดีบ้าอะไร!” ใส่เข้าไปหงายท้อง เออะ ช็อก! เลย

“อ้าว ไม่ดีได้อย่างไรก็มันว่าง มันเป็นสัมมาสมาธิ”

“สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง สัมมาสมาธิของท่านก็อย่างหนึ่ง เพราะสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้ามันไม่มีกิเลส ไม่มีสมุทัยบวกเข้าไป สัมมาสมาธิของท่านกิเลสเต็มหัว สมุทัยเต็มตัว สัมมาสมาธินี่บวกด้วยสมุทัยบวกด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะเป็นสัมมาได้อย่างไร”

ช็อกเลย! ช็อกเลย! นี่การแก้จิต นี่ก็เหมือนกันกระบวนการของจิตที่มันจะเปลี่ยนแปลงมันหลากหลายมาก แล้วเวลาคำสอนของเขาให้มีกระบวนการเดียว วิธีการการเดียว เพ่งกันอยู่อย่างนั้นแล้วก็ว่างกันทีนะว่างกันทีทั้งศาลานะ คนปฏิบัติมากมายมหาศาลแล้วว่างหมดเหมือนกันหมดเลย

เฮ้ย พระอรหันต์สำเร็จรูปมีหรือวะ เราก็ไปสั่งเลยอรหันต์กูสำเร็จรูปทั้งนั้นส่งถึงที่ พระอรหันต์ส่งถึงที่เลยนะว่างๆ เหมือนกันหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้ เขาบอกว่ามันเป็นไปได้อย่างไรตอนนี้เขากำลังเชิดชูกันมากเขาจะมีความสุขมาก เราบอกเลยนะระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เอ็งปฏิบัติกันไปเถอะเรารับประกันได้ว่า ระยะเวลา กาลเวลามันจะพิสูจน์คน กาลเวลามันจะพิสูจน์ความจริงอันนั้น

ตอนนี้ปัจจุบันนี้ใจยังอยู่มันก็ว่างๆ อย่างนี้ เวลากิเลสมันขึ้นมาเวลาสิ่งกระทบมันขึ้นมามันจะรู้ว่าว่างหรือไม่ว่าง แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะมันจะไม่มีอะไรกระทบ เพราะเราทำลายภวาสวะ ทำลายตัวภพ ทำลายตัวสสาร สิ่งนี้มีเหมือนไม่มีมันจะไม่มีสิ่งใดมากระทบเลย นี่มันจะผ่านไปได้โดยสบายๆ เลย

ถ้ามันเป็นความจริงเห็นไหม อกุปธรรมสิ่งที่กิเลสจะกระทบไม่มีเลยนะมึง มันผ่านไปผ่านมาได้แต่นั่งดูมัน นั่งดูมันเฉยๆ ไม่มีอะไรกระทบเราได้ แต่ถ้ามีนะว่างๆ ว่างๆ ก็นึกให้ว่างไง หลบเอาสิหลบไปหลบมา ว่างๆ

เราถึงบอกว่ากระบวนการมันผิด พอกระบวนการมันผิดปั๊บเราถึงบอกว่า ทุกคนจะถามว่า พวกนี้เขาบอกว่าเขาสิ้นจากกิเลสแล้วเราเชื่อไหม เราบอกเราไม่เชื่อหรอก เราไม่เชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

เพราะถ้าเป็นพระโสดาบันนะ กระบวนการของพระโสดาบัน เวลาพิจารณากายเห็นสักกายทิฐิ ละสักกายทิฐิได้ตามความเป็นจริงแล้ว กระบวนการการละสักกายทิฐิ กระบวนการที่สังโยชน์ ๓ ตัวที่หลุดออกไปจากใจนี่ มันมีกระบวนการของมัน

ถ้ามีกระบวนการของมันคนที่ประพฤติปฏิบัติกระบวนการนั้นที่เกิดมากับเรา เราได้บริหารจัดการกระบวนการการนั้น ถ้าเราได้บริหารกระบวนการนั้น กระบวนการนั้นจนสรุปผลออกมาจนเป็นโสดาบันแล้ว กระบวนที่เราได้ประพฤติปฏิบัติมากับคำสอนของเราที่สอนผิดมันขัดแย้งกันไหม

เพราะเราเห็นการสอนอย่างนั้น เราถึงไม่เชื่อเลยว่าเขาจะมีมรรคผลแม้แต่เสี้ยวเดียว ไม่มีแม้แต่ขี้ตีน เพราะกระบวนการอันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ กระบวนการที่มันจะเป็นความจริงกระบวนการมันต้องสรุปไม่ใช่กระบวนการนะ กระบวนการต้องตอบสนองสรุปแล้วด้วย ถึงจะรู้จริง ถึงจะเป็นโสดาบัน

กระบวนการที่เกิดขึ้นมาแต่เราทำไม่ถึงที่สุดของมันกระบวนการนั้นเขาเรียกว่า ตทังคปหาน ตทังคปหานคือกระบวนการที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระบวนการที่เกิดขึ้นมาเราไม่สามารถเอากระบวนการนี้ถึงที่สุดสรุปกระบวนการนี้ได้ ถ้าเราไม่สรุปกระบวนการนี้ได้ ผลตอบสนองไม่มี

ถ้าผลตอบสนองไม่มีปั๊บ เพราะไม่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้นมากับเรา แต่เราเอากระบวนการนี้ที่สรุปไม่ได้เราไม่รู้ถึงเป้าหมาย ถ้าเราไม่ถึงเป้าหมายปั๊บเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล

กระบวนการของมันเกิดขึ้นมาแล้วกระบวนการของมันทำลายกระบวนการของมันแล้วเห็นไหม กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วจิตสรุปรวมลง แล้วมันรวมลงอย่างไร แล้วกระบวนการของจิตที่มันรวมลงมาแล้วมันทิ้งธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ออกไป ทิ้งกระบวนการไปแล้ว แล้วจิตกระบวนการที่สรุปของมัน มันเป็นอย่างไร

ถ้ามันเป็นเพราะกระบวนการนี้มันจบแล้ว สิ่งที่กระบวนการจบสิ้นแล้ว เหมือนเรา เราทดสอบทำวิจัย เราทำวิจัยทุกอย่าง จนสรุปผลตอบสนองหมดแล้ว แล้วคนอื่นบอกว่ากระบวนการอย่างของเราผิดเอ็งเชื่อไหม มันเป็นไปไม่ได้ แล้วกระบวนการของเขาที่ทำอยู่มันเป็นกระบวนการเพ้อฝัน

กระบวนการเพ้อฝันเพราะมันไม่มีความจริง มันไม่มีความจริงเพราะอะไร เพราะมันไม่มีการกระทำไง มันเพ่งดูกันเฉยๆ มันไม่มีกระบวนการของมัน เกิดขึ้นไม่ได้ กระบวนการที่จะเกิดขึ้นได้มันต้องมีการกระทำของมัน มรรคญาณธรรมจักรมันต้องหมุนของมันไป

นี่ธรรมจักรมันต้องหมุนของมันไปแล้วสิ่งที่ธรรมจักรมันหมุนขึ้นมาแล้วการเพ่งอย่างนั้นกระบวนการของธรรมจักรแบบหน่วยกิจ หน่วยกิจที่มันส่งครบกระบวนการหน่วยกิจของการศึกษาที่มันจบการศึกษาหน่วยกิจมันต้องครบคะแนนแต่ว่าผลการศึกษามันต้องไม่มีผลของมัน ต้องมีวุฒิความรู้ขึ้นมาตอบโจทย์อันนั้นได้ มันต้องมีกระบวนการของมัน

แล้วคำสอนไม่มีกระบวนการของมันแต่พยายามพูดนะ จิตมันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องถึงฐานของจิต แล้วไอ้คนฟังเราก็สงสารนะมันฟังก็พูดเหมือนหลวงพ่อเลย ถึงสมาธิ ถึงภพ ถึงอะไร เพราะอะไร เพราะมันไปครูพักลักจำใช่ไหม เราเห็นกระบวนการที่เขาทำกัน เราเดินผ่านแต่เราไม่รู้จุดกระบวนการ

อย่างความรู้ทางการค้า ทางการค้าเขามีความลับของเขาสูตรผสมของเขาเขาไม่ให้รู้หรอก เอ็งจะได้กินแต่อาหารของเขาเท่านั้นแหละ อันนี้ไปกินอาหารของเขาไปดูของเขา กูรู้ๆ เฮ้ย ทำไมทำอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้านี่ความลับทางการค้านะ

แต่พูดถึงพระพุทธเจ้าแล้วนะซึ้งมาก พระพุทธเจ้าเวลาบอกพระอานนท์

“อานนท์ไม่มีกำมือในเรา เราแบตลอดนะ ความลับเราไม่มีนะ”

ในอริยสัจ สัจจะความจริงไม่มีความลับเลยเปิดเผยตลอดเวลาเลย แต่พวกเราทำกันไม่ถึงต่างหาก ความลับไม่มีเลยแต่ทางการค้ามันมีธุรกิจของเขาเขาต้องปกป้องผลประโยชน์ของเขาเขาไม่บอกเราหรอก แต่ในพุทธศาสนานี้ไม่มีเลย ถ้ายังมีในกำมือในเราเห็นไหม ถ้ายังมีกำมือในเรา เวลาปฏิบัติแบบหนังกำลังภายในเขาจะมีแบบว่า ไอ้สิ่งที่สุดยอดวิทยายุทธที่สุดยอดเขาไม่บอกเราหรอก เขาเอาไว้ป้องกัน

แต่พระพุทธเจ้าถ้าไม่แบ ไม่เปิดเผยชำระกิเลสไม่ได้ เพราะเวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาไปเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระสารีบุตรไปลาพระพุทธเจ้า “เห็นควรแก่เวลาสมควรของเธอเถิด”

เวลาพระสารีบุตรบอกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าไม่เชื่อเลย ใครถามบอกไม่เชื่อเลย พระพุทธเจ้าบอก “ทำไมถึงไม่เชื่อเรา”

เมื่อก่อนเชื่อเห็นไหมถ้ายังมีความลับอยู่ ยังมีกำมืออยู่เพราะเรายังมืดมนอนธการอยู่เราต้องเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา แต่คราวนี้แบมือไปแล้วต่างคนต่างแบมือมาแล้ว เราก็มีมือแบมาแล้วเราต้องไปเชื่อใคร มือเราก็เหมือนกัน มือกูก็แบแล้ว มือเอ็งก็แบแล้ว แล้วทำไมกูต้องไปเชื่อมือมึง กูก็เชื่อมือกูนี่ไงไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อสัจจะความจริงอันนี้ไง

พระพุทธเจ้าพูดไว้ชัดเจนมากเลย แล้วกระบวนการเวลาเขาทำมันเป็นไปไม่ได้ เราถึงเน้นย้ำนะ เน้นย้ำว่าความจริงมีหนึ่งเดียว! ความจริงมีหนึ่งเดียว! เราพูดอย่างนี้ตลอดแล้วเราไม่เชื่อการกระทำอย่างนั้น เพราะการกระทำอย่างนั้นกระบวนการมันเป็นไปไม่ได้

แต่เวลาเขาพูด เขาพูดบ่อยเดี๋ยวนี้เขาพูดบ่อยมากเลย ต้องถึงฐานของจิต ต้องมีสมาธิ แต่เมื่อก่อนไม่พูดถึงนะ ใหม่ๆ เริ่มต้นโกหกใหม่ๆ ไง โกหกใหม่ๆ มันโกหกได้ชัดเจนใช่ไหม แต่พอเขารู้ทัน ความโกหกนั้นมันก็พลิกไปเรื่อย ความโกหกนั้นแบบพลิกแพลงไปเรื่อย แล้วเขาบอกในกระบวนการเขาบอกเขาพยายามจะแก้ไข

เราบอกว่าเป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะคนที่ไม่รู้มันจะแก้ไขอย่างไร มึงแก้ไปเถอะ ก็พยายามจะทำให้ข้อมูลนี่ให้ใกล้กับความจริงตลอด แต่เข้าถึงไม่ได้เพราะเราไม่รู้จริง ถ้ารู้นะพูดอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าสิ่งนั้นมันเข้าถึงเป้าหมายไม่ได้ แล้วเราพูดออกไปได้อย่างไร

ในเมื่อถ้าพูดอย่างนั้นทำอย่างนั้นแล้วแสดงว่าไม่รู้ พอไม่รู้ปั๊บก็พยายามจะศึกษาให้รู้แล้วพยายามเปลี่ยน พวกนี้มันเหมือนกับสมัยพระจอมเกล้าฯ เลย พระจอมเกล้าฯ ตอนมาศึกษาใหม่ๆ เห็นไหม ศึกษาแล้วก็หยุดอยู่เรื่องของศาสนา ก็มาค้นคว้าพระไตรปิฎกแล้วก็บวชทีหนึ่ง พอบวชเสร็จแล้วไปค้นคว้าตำรา

โอ๋ ยังขาดตรงนี้ก็บวชอีกทีหนึ่งจนเป็นที่ติเตียนของมหานิกายไง ว่าพระจอมเกล้าฯ บวชซ้ำบวชซาก บวชแล้วบวชอีก ก็นี่พยายามจะแก้ไขให้ถูกไง แต่นั่นเป็นเจตนาที่ดีนะ เพราะสังคมเป็นแบบนั้นไม่มีใครเป็นคนชี้นำแล้วท่านปรารถนาดี ปรารถนาดีให้ทำอะไรใกล้เคียงธรรมวินัยที่สุด

แล้วสังคมมันแหลกเหลว มันไม่มีการกระทำกันแล้ว แล้วท่านพยายามทำให้ถูกต้องตามธรรมวินัยทั้งหมด มันก็เลยไปต่างกับสังคมที่เป็นอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นพอทำไป แหม พวกเราอายุยี่สิบกว่า จะมีวุฒิภาวะอะไรมา ก็ศึกษาประสาเรา พอค้นคว้าตามพระไตรปิฎกอันนี้ถูกต้องบวชเลย เพราะเราฟังเสียงเสียดสีมาเยอะมาก

พระจอมเกล้าฯ ทีแรกท่านจำพรรษาอยู่วัดมหาธาตุนี่แหละ เวลาท่านบวชก็บวชในน้ำนี่แหละ เขาเรียกพระน้ำ ปลูกแพแล้วบวชกลางแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วบวชสิ่งนั้นขึ้นมา แล้วพอมาค้นคว้า อ้าว อันนี้ยังไม่ได้ทำก็ บวชซ้ำอีกๆ

ฉะนั้นมันก็เหมือนกับอันนี้เลยพยายามจะแก้ให้ถูก ไม่มีทาง เพราะตัวเองไม่รู้แล้วพยายามจะพูดไปตอนนี้สิ่งที่เขามาลูกศิษย์เขามา เขาพยายามจะพูดตรงนี้

มันแปลก แปลกที่คนเขามองเราว่าเรารุกราน เราต้องการเหมือนกับทำลายเขา แต่ไม่ใช่นะ เราชี้ถึงหลักทางวิชาการผิดถูกเท่านั้น เราไม่เคยทำลายใคร ไม่เคยทำลายใคร แต่เราสงสารคนทุกคน คนที่มันออกนอกลู่นอกทาง แล้วกระบวนการของสิ่งที่ว่าเขาจะแก้ให้ถูกเราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับโปฐิละเลย เวลาพระพุทธเจ้าสอน

“โปฐิละไปไหนมา” “โปฐิละใบลานเปล่ามา” “โปฐิละใบลานเปล่ากลับไป”

นี่ก็เหมือนกันถ้ายังเข้าไม่ถึงสัจจะความจริงอันนั้น แก้ไม่ได้ จนโปฐิละละทิ้งหมดเลย แล้วกลับมาปฏิบัติ ถึงที่สุดแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงพระโปฐิละอีกเลย เพราะพระโปฐิละรู้จริงแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาเป็นนักวิชาการเขามีวุฒิภาวะรู้เรื่องทฤษฎีมาก แล้วสั่งสอนลูกศิษย์เคารพบูชามาก

เพราะพูดนี่เหมือนคอมพิวเตอร์เพี้ยะๆๆ ไม่มีผิดเลย แต่มันเป็นคอมพิวเตอร์ มันเป็นความคิด แต่ใจมันยังไม่จบ แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่ามีบารมีไง เวลาสอนนี่ไม่ผิดเลย โอ้โฮ ถ้าผิดทางวิชาการสมัยนั้น สมัยพุทธกาลสมัยท่องจำดีกว่าสมัยนี้อีก มันท่องจำมันสวดมนต์ สวดมนต์ใครสวดผิดคนหนึ่งสิ มันจะไม่เหมือนเขาเลย

ฉะนั้นทางวิชาการสมัยนั้นมุขปาฐะคือทางปาก คือการท่องจำ แล้วถ้าพูดผิด ก็สวดมนต์ด้วยกัน ก็พูดบาลีด้วยกันมันจะผิดๆๆๆ ก็คือผิด ผิดไม่ได้เลยนะ ขนาดนั้นพระพุทธเจ้ายังบอกว่าใบลานเปล่า ใบลานเปล่า แต่เวลามาปฏิบัติถึงที่สุดแล้วมันเปล่าที่ไหนไม่เปล่าเลย ฉะนั้นถ้าพูดถึงว่าถ้าเขาจะแก้ไขต้องกลับมา ต้องกลับมาเอาตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าเอาตัวเองให้ได้ก่อนให้รู้จริงก่อนแก้ไขได้

แต่ถ้ายังไม่เอาตัวเองให้รอดนะแล้วยังจะแก้ไขทางวิชาการไปนะเราว่ามันจะถลำไปเรื่อยๆ ถลำไปแล้วพูดถึงทางปฏิบัติเขาคิดว่าอาจารย์เขาแตกฉานมาก แตกฉานมากมีความรู้มาก การสอนกว้างขวางมาก สำหรับเรานะเศร้าใจ เศร้าใจ

ถ้าเป็นเรา ถ้าเราแตกฉานเราพยายามบิดเบือนไปเรารู้ไหม เพราะคำพูดที่เราพูดไปคำแรกคืออะไร แล้วคำที่เราแก้ไขนั้นคืออะไร แล้วแก้ไขไปเรื่อยๆ มันคืออะไร เราจะรู้ตัวไหม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เราเชื่อมั่นมากว่าทุกคนรู้ คนทำผิดก็รู้ว่าผิด เพียงแต่ว่าเขาจะยอมรับความจริงไหมเท่านั้นเอง

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะในวงกรรมฐานเราเวลาปฏิบัติไปมันมีผิดเยอะไง แต่มีครูบาอาจารย์คอยแก้ไข แล้วคนที่เคยผิดมามันรู้ว่าเวลาเราผิดเรามีความรู้สึกอย่างไร เวลาเราผิดเราถึงบอกเมื่อกี้ตั้งแต่เริ่มต้นใช่ไหมว่าคนปฏิบัติมาผิดทั้งนั้น! ผิดทั้งนั้น! เริ่มปฏิบัติแล้วจะถูกเลยไม่มี ผิดทั้งนั้น!

แม้แต่พระพุทธเจ้าเราเน้นย้ำประจำ พระพุทธเจ้า ๖ ปีผิดทั้งนั้นเลย แล้วพระพุทธเจ้าจะไปศึกษากับใครก็แล้วแต่ผิดทั้งนั้น ตอนที่ปฏิบัตินั้นผิดหมดเลย เพราะอะไร เพราะในสมัยนั้นพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ เราบวชใหม่ดูครูบาอาจารย์สิเราทึ่งไหม ท่านบวชจนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่เราจะเคารพบูชาไหม เราก็ต้องคิดว่าท่านมีความรู้มากกว่าเราจริงไหมมันเป็นธรรมดา

พระพุทธเจ้าพอออกจากราชวังมามันก็มีลัทธิต่างๆ มหาศาลเลย เราจะไม่ศึกษาเลยหรือ ออกมาปุ๊บเราจะตั้งตัวเป็นอาจารย์เลยหรือเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องไปศึกษากับเขา เจ้าลัทธิต่างๆ พระพุทธเจ้าไปศึกษามาหมดแล้ว แต่การศึกษานั้นศึกษามาขนาดนั้นมันเป็นจริงไปไม่ได้เพราะความจริงยังไม่มี คำนี้สำคัญมากนะ ความจริงยังไม่มี ถ้าความจริงยังไม่มีเอ็งไปศึกษาสิ่งที่ไม่มีเอ็งว่าจะเป็นไปได้ไหม เอ็งจะรู้จริงได้ไหม พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าความจริงถึงเกิดใช่ไหม แล้วพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน ในเมื่อความจริงยังไม่มีเอ็งไปศึกษาขนาดไหนเพราะความจริงมันไม่มีเอ็งไปศึกษาที่ไหนมันไม่มี แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาใช่ไหม เราเป็นไข่ฟองแรกเราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมา พระพุทธเจ้าจึงเทศนาว่าการไง

พระพุทธเจ้าบอกเราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมาเป็นไก่ตัวแรกเป็นศาสดา ไม่มีใครเลย ฉะนั้นก่อนหน้านั้นถึงไม่มีไง แล้วไม่มี ๖ ปีไปศึกษาไปค้นคว้าของที่ไม่มี แล้วตอนนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่รู้ ๖ ปีนั้นผิดหมด

แต่พอมาคืนสุดท้ายคืนวันวิสาขะบูชา พอถึงที่สุดแล้วค้นคว้ามาหมดแล้ว เพราะอำนาจวาสนาสร้างมาอย่างนี้ ได้หญ้าของโสตถิยพราหมณ์มา คืนนี้เรานั่งแล้วเราจะไม่ลุกอีกเลย ถ้าไม่ตรัสรู้ก็ให้ตายไปเลย เพราะคืนนั้นมันลองผิดลองถูกมาเต็มที่แล้ว แล้วไปถึงไหนมันไม่มีใครที่จะให้เป็นที่ปรึกษาที่อะไรได้แล้ว ต้องกลับมาเพิ่งตัวเอง แล้วพอพึ่งตัวเองปั๊บประสาเรานะมันก็ดับโลกหมดเลย

แต่เมื่อก่อนเราหวังเพิ่งใช่ไหม ปัจจุบันเราลองสึกไปสิ หวังพึ่งญาติ หวังพึ่งพ่อ หวังพึ่งแม่ หวังพึ่งไปหมดเลย ตัวเองไม่ได้คิดอะไรเลย พอตัดหมดเลย กูจะพึ่งตัวกูคนเดียวแล้ว คืนนี้ใจกูกับกูต้องซัดกันตัวต่อตัวแล้ว มันหดเข้ามาถึงกระบวนการในจิตทั้งหมด แล้วกระบวนการของจิตมันเริ่มทำเข้ามานี่ไงมรรคญาณ นี่ความจริง

นี่ไงพระพุทธเจ้าพูดถึงได้ซึ้งมากนะ “กองทัพชนะกองทัพอื่นคูณด้วยล้านไม่เท่ากับชนะตนเอง คนที่เคยเอาชนะตนเองได้สำคัญที่สุด การชนะที่เยี่ยมที่สุดการชนะที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ไม่มีโทษไม่มีภัย คือการเอาชนะจิตใจเราเอง”

เพราะผู้ที่พูดอย่างนี้ได้ ผู้ที่มีประสบการณ์อย่างนี้ พูดอย่างนี้มันซึ้งใจ สำหรับเรานะ ชนะอะไรวันๆ ตัวเองก็สบายอยู่แล้วควบคุมได้หมด ชนะอยู่แล้ว ชนะที่ไหนทุกข์ตายห่า กิเลสเรามันก็จะอ้างกูชนะกูสั่งได้หมดจะไปเที่ยวไหนกูก็ไปได้ จะกินอะไรกูก็สั่งได้หมดเลย โง่น่าดูเลย

โง่ตรงที่ไม่เห็นความคิดกับจิตไง คำว่าชนะ ชนะเอาเองมันเป็นความคิด มันเป็นมาร มันเป็นอวิชชา มันเป็นมารแล้วมันหลอกพวกเอ็งหลอกเราด้วย หลอกพวกเราให้หมดไปวันๆ หนึ่ง แล้วเราก็หมดอายุขัยตายไป แล้วมารมันก็ยังอาศัยอยู่บนหัวใจเราต่อไป อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ขี้รด

หลวงตาบอกว่า “กิเลสนะมันขี้บนหัวใจเรา มันกินบนหัวใจเรา มันขี้บนหัวใจเรา มันถ่ายไว้ในหัวใจเราแล้วมันก็ไป”

นี่ไงเพราะเราแพ้ไง ทีนี้พอแพ้ เราก็ผัดวันประกันพรุ่ง เราก็บอกว่าชีวิตเรายังอีกยาวไกลทั้งๆ ที่ว่ามันอันตรายนะ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก หายใจเข้าแล้วก็ไม่หายใจออกคืนนี้นอนๆ ไปอาจจะช็อกตายก็ได้นะ ถ้ามันช็อกตายมันก็จบแล้ว ชีวิตมีเท่านี้แหละ แต่เราก็ยังว่ายังอีกยาวไกล แล้วมันก็หลอกให้หมดไปวันๆ หนึ่งนี่ไง

นี่ไงว่าชนะตนเอง แพ้ตนเองตลอด แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นตรงนี้

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดน่าฟังมาก “คนมีสติแม้แต่วินาทีเดียวดีกว่าคนที่เร่ร่อนอยู่เป็นร้อยๆ ปี” จะเน้นตรงสติปัญญา การรู้รอบตัวเอง แล้วถ้าเกิดเอาชนะตัวเองได้สุดยอด สุดยอดจริงๆ นะ เพราะอะไรรู้ไหม

เพราะหลวงตาท่านพูด ท่านบอกใครทุกข์ใครยากใครทำงานลำบากอย่าเพิ่งมาโม้นะ เพราะว่าขณะที่เราจะเอาชนะตัวเองได้เราต้องเดินจงกรม เหมือนโทษนะเขาฝึกช้างฝึกม้าเขาต้องฝึกมันเขาต้องบังคับมัน แต่เราบังคับใจเราด้วยสติปัญญา จริงๆ นะมันอึดอัด มันอึดอัดขัดข้องมันจะระเบิด

แล้วคิดสิเราบังคับมันให้อยู่ในทางจงกรม เราเดินไปเดินกลับแล้วนั่งสมาธิเราบังคับมัน แล้วเราแพ้มันตลอดเพราะนั่งสัปหงกโงกง่วง สมาธิก็ไม่ลง ปัญญาก็ไม่เกิด ถ้าเราชนะมันเห็นไหมชนะมาร มารสงบลงชั่วคราว มันจะทำให้เรามีความสุขชั่วคราว มันจะทำให้ปัญญาเราเกิดชั่วคราว นี่เราเริ่มชนะแบบเล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ นะ แล้วจนชนะถึงที่สุดเห็นกระบวนการของมันนะ โสดาบัน สกิทาคา อนาคาถึงพระอรหันต์ละเอียดมาก

เราเห็นเด็กๆ มันเล่นกันด้วยเล่ห์เหลี่ยม มันเด็กๆ ทั้งนั้น พอเราไปทำงานก็ โอ้โฮ พวกนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะฉิบหายเลย พอเราไปอยู่กับผู้อำนวยการผู้เฒ่า โอ้โฮ เล่ห์เหลี่ยมยิ่งเยอะใหญ่อวิชชาเหมือนกัน โสดาบันเด็กๆ สกิทา นี่ก็เก่งขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง

คือความหลอกเรามันละเอียดลึกลับเป็นชั้นๆ เข้าไป มันไม่ใช่เอาการหลอกเด็กๆ มาหลอกเราหรอก เด็กๆ มันหลอกเราก่อนถ้าเราเอาชนะได้ เดี๋ยวมันเอาผู้ใหญ่มาหลอกเราแล้ว แล้วพอเราชนะผู้ใหญ่ได้เดี๋ยวมันเอาผู้เฒ่าผู้แก่มาหลอกเอ็ง หัวปั่นเลย อวิชชามันเป็นอย่างนี้ นี่กระบวนการของคนปฏิบัติ

ถ้าคนปฏิบัติมีกระบวนการของมัน ไม่พูดอย่างนั้นหรอก พูดอย่างที่เขาสอนว่าว่างๆ ว่างๆ เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้วิธีการก็เป็นไปไม่ได้ แต่เขาพูดเหมือน เหมือนเพราะอะไร เหมือนเพราะเขาศึกษาไง เขาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า เขาจำสูตรได้ เขาพูดได้แล้วก็พูด เราเห็นบ่อย

เหมือนในหนังสือเวลาที่เขาเอามาให้เราดูนะ ทุกคนจะเอามาให้เราดู เราบอก เวลาเราพูดเราจะบอกว่าผิดอย่างนี้อย่างนี้ปั๊บ เขาจะหาเหตุผลมาโต้แย้งว่า สิ่งที่เราพูดนะ ว่าที่เขาผิดๆ เขามีทุกคำพูดที่เหมือนเราเลย แต่เขาเรียงระบบไม่ถูก เขาวางตำแหน่งมันผิด

อย่างกระบวนการทางกฎหมายเราจะฟ้องเขา ถ้าเราเขียนสำนวนผิดสำนวนเราขัดแย้งกัน เอ็งฟ้องเขาแล้วเอ็งชนะไหม ถ้าเอ็งเขียนสำนวนผิดกระบวนการเอ็งผิด วันเวลาบอกว่าเขาฆ่าเราตายตั้งแต่วันนี้ แต่เมื่อวานกูยังมีชีวิตอยู่ มึงเขียนไปเถอะเดี๋ยวศาลเขายกฟ้อง ตำแหน่งมันไม่ถูก

เราจะไปฆ่าเขา เราจะไปทำลายเขา เราต้องเห็นตัวตนใช่ไหม เรามาเมื่อนั้นๆ อันนี้บอกเลยนะ เราฆ่าเขาเสร็จว่าเมื่อวานกูอยู่โน่นเขียนคนละเรื่องเลย แต่เวลาเขามาพูดกับเราเขาจะพูดอย่างนี้ ขณะจิตเป็นอย่างนั้นๆ เราฟังทั้งนั้น แต่ขณะที่ฟังแล้วเห็นไหมเวลาเทศน์เปิดอก แล้วกระบวนการที่เราพูดออกไป อัดเทปไว้ แล้วถ้าใครฟังนะมันขัดแย้งกันนะเขาแย้งได้เลย

หลวงตาจะบอกไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้ตอบไม่ได้ แต่สำหรับเราไม่รู้แต่อยากตอบ กูตอบได้ กูก็ตอบของกูแจ้วๆ นี่แหละ แต่เวลากระบวนการมันผิดหมดเลย นี่พระปฏิบัติ

พระปฏิบัตินะอันดับ ๑ คือการเทศน์ เขาจะดูว่าพระองค์ไหนเป็นไม่เป็นเขาฟังเทศน์นี่แหละ อันดับที่ ๒ นั่งตลอดรุ่งเขาพิสูจน์ว่าพระนั้นแจ๋วไม่แจ๋ว พระกรรมฐานเขาพิสูจน์กันอย่างนี้ เพราะหลวงตาบอกเลยเวลาเทศน์เปิดอก มันบอกถึงทัศนคติทั้งหมด บอกถึงประสบการณ์จิตที่ผ่านมาทั้งหมด

ถ้ากระบวนการของจิตมันไม่ผ่านมาเอ็งพูดได้อย่างไร เอ็งเรียงลำดับไม่ถูกหรอก เราฟังพระเยอะมากที่ว่าเขาเทศน์ๆ กัน เราฟังแล้วนะ ไม่เข้าขั้นเลย เพราะการเข้าขั้นเวลาพูดฟังหลวงตาพูดสิ เวลาพูด พูดถึงความสงบของใจเข้ามา จิตสงบแล้ววิปัสสนาเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันจะปล่อยวางตรงนั้นมันจะขาด เป็นขั้นตอนมันมีจังหวะ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปเรื่อยๆ

ถ้าเราเทศน์เอา ๔ มา ๓ ๒ ๑ มันตายแล้ว ความคิดของโลกเป็นอย่างนี้หมด เวลาเราพูดกลัวผิด ต้องมีความสงบ มีความสว่าง มีความสะอาด แบบอภิธรรม ปฏิบัติไม่ได้เพราะมีความอยาก ต้องปฏิบัติโดยไม่มีความอยาก ไม่มีความอยากก็เพราะพระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคายังอยากพ้นทุกข์เลย แล้วบอกไม่มีความอยากนะ

มึงจะเอาพระอรหันต์มาปฏิบัติหรือ พระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ต้องปฏิบัติอะไร กระบวนการของโลกคิดอย่างนี้กัน เพราะไปอ่านตำราพระพุทธเจ้าไง ว่านั่นก็เป็นกิเลส นี่ก็เป็นกิเลสใช่ไหม เราก็คิดกระบวนการว่าสิ่งใดที่ไม่เป็นกิเลสถ้าเป็นกิเลสแล้วปฏิบัติไม่ได้แต่ลืมคิดไป

อวิชชาความไม่รู้ในภวาสวะในภพในจิตของเรา มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่เอ็งละวางมันไม่ได้หรอก มันละวางไม่ได้ ประพฤติปฏิบัติจนมรรคญาณเข้าไปทำลายเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ่งที่เป็นกิเลสเปลี่ยนแปลงให้เป็นสติปัญญาให้เป็นมรรคได้ ตั้งใจจริงทำจริงของเรา มันยังมีกิเลส กิเลสความต้องการ ความแรงปรารถนา ถ้ามากกว่ามันก็ฉุดกระชากเราไปก่อด้วยตัณหาความทะยานอยาก ถ้าตัณหาความทะยานอยากมันล้ำหน้าเราไปมันก็ทำให้การกระทำของเรา เหมือนเราทำงานที่ขาดสติทำงานที่เราพลั้งเผลอ งานนั้นผิดแน่นอน

ทีนี้ตัณหาความทะยานอยากมันมีกำลังมากกว่ามันก็ฉุดกระชากความคิดของเราไป มันผิดทั้งนั้น มันปฏิบัติอยู่แต่มันไม่เป็นกลางมันไม่สมดุลของมัน พอเวลาเราปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้วเราเหนื่อยเรายากมากแล้วทำไมเป็นอย่างนี้ เห็นไหมเห็นผิดแล้ว อ๋อเพราะอยากเกินไปไงก็ปฏิบัติเป็นธรรมชาติสิ ปฏิบัติโดยเป็นกลางสิมันก็ค่อยๆ ผ่อนมา มันก็ลงสมดุล

ลงสมดุลก็ปล่อย โอ้โฮ ว่างหมดเลย อยากได้อีก อยากเอาอย่างนี้ๆ ขยันอีก กิเลสมันก็ชักมาอีกหน่อยหนึ่งโดนกิเลสมันลากไปแล้ว นี่ไงที่ปฏิบัติแล้วผิดๆ ผิด! ผิดมันเป็นประสบการณ์ของจิตไง จิตของคนที่ปฏิบัติไม่ผิดเลยไม่มี แล้วถ้าผิดแก้ไข แต่ในการกระทำเขาบอกว่าอยากไม่ได้ อะไรเป็นกิเลสไม่ได้ แล้วเป็นสิ่งที่มีอยู่มึงปฏิเสธได้อย่างไร

ครูบาอาจารย์ถึงว่าปฏิบัติโดยความผิดนี่แหละ ปฏิบัติโดยอวิชชาเรานี่แหละ ปฏิบัติขยันหมั่นเพียรเข้าไป แล้วพยายามแก้ไขมันทำลายมันจนถึงที่สุดมันสะอาดบริสุทธิ์ได้ แต่กระบวนการมันพลิกกลับว่าต้องสะอาดก่อน พอปฏิบัติปุ๊บ โน่นก็สักแต่ว่า นี่ก็สักแต่ว่า คือนึกว่าเราให้สะอาดไว้ก่อนไง กิเลสกดมันไว้อย่าให้มันมี

สะอาดนะสักแต่ว่า โน่นก็สักแต่ว่านะไม่ใช่เรา นี่ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรานะเหมือนมึงหลอกตัวเอง หลอกก็ไม่ใช่ แต่จริงๆ ไม่ใช่เรา อยู่หรือเปล่าวะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราหรอก คือไปเอาธรรมะ ถ้าปฏิบัติไม่เป็นมันจะเป็นอย่างนี้ ไอ้ที่ว่าสักแต่ว่าไม่ใช่เราพระพุทธเจ้าก็สอน แต่ท่านสอนหมายถึงว่าจิตของคนที่มันสมดุลแล้ว

อย่างเช่นเรากำลังจะได้เสีย เราก็ยังคิดลังเลอยู่ ท่านจะบอก นั่นไม่ใช่เรา ผลัวะ ได้เลย แต่เรานี่ไม่ใช่เรา เอ๊ะ ไม่ใช่เรานี่มันอยู่ที่ไหนนะ แล้วไม่ใช่เรามันมาจากไหน คือวุฒิภาวะเราไม่ถึงไง พระพุทธเจ้าจะสอนใครนะท่านจะดูวุฒิภาวะ อย่างเช่นสอนคฤหัสถ์ท่านก็พูดอีกอย่างหนึ่ง สอนที่เข้มข้นผู้ที่จะพ้นจากกิเลสนั่นก็พูดอีกอย่างหนึ่ง

แต่เราไปเอาคำพูดมาทั้งหมดเลย แล้วเอาตำรามากางทั้งหมดเลย เหมือนสอนกูคนเดียว ผิด! กาลเทศะ อย่างครูบาอาจารย์เราสอนเห็นไหมตอนเข้ามาใหม่ๆ เลย มาฝึกฝนข้อวัตรก่อน คำว่าฝึกฝนข้อวัตรคือว่า เรามารู้เมนูอาหารก่อน เมนูอาหารนี้เขาเรียกอะไร อันนี้เขาทำอย่างไร พอเข้ามาแล้วเราจะรู้ใช่ไหมข้อวัตรเหมือนเมนูอาหารนี่แหละ

เช้าขึ้นมาทำอะไร ตอนสายทำอะไร พระเราผิดถูกอย่างไร รู้ให้เป็นเข้าใจมัน พอเข้าใจปั๊บการกระทำจะเกิด พอเข้าใจข้อวัตรมาฝึกก่อนเป็นปะขาวฝึกก่อน พอฝึกเสร็จแล้วบวชเป็นพระรู้แล้วควรจะทำอะไรๆ ทีนี้เราก็เร่งความเพียรเราได้แล้ว มันมีขั้นตอน พวกเราสอน ครูบาอาจารย์สอนท่านสอนอย่างนี้

แต่เราคิดว่าอย่างนี้เราศึกษาเองได้ ศึกษาเองได้นะอ่านทั้งเล่มเลยเหมือนจะเอ็นฯ อ่านเต็มที่เลย เวลาข้อสอบออกมางงฉิบหาย นี่ไงศึกษาใหญ่เลย ธรรมะเป็นอย่างไรรู้หมดเลย แต่ไม่รู้ แต่พระป่าเรานะผิดต่อหน้านะซัดเดี๋ยวนั้นเลย จำแม่น ผิดก็หงายท้องเลย โอ้โฮ ซึ้งใจมาก ปฏิบัติผิดเดี๋ยวนั้นรู้เดี๋ยวนั้น กรรมฐานเป็นอย่างนั้น มันต้องใช้เวลา ใช้ประสบการณ์ของเรานะ

นี่พูดถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลง สงสารนะ สงสารด้วย บางคนเห็นผิดแล้วพยายามจะกลับ พยายามจะกลับ คำว่าพยายามเฉยๆ เป็นนามธรรม แต่ถ้าพยายามจะกลับนะตั้งสติแล้วเราฝึกขึ้นมา เราต้องให้เห็นผิดเห็นถูกเอง แต่เห็นผิดเห็นถูกเองพูดง่ายมาก แต่นี้พยายามจะกลับแต่คิดว่าเป็นความพยายามแต่ตัวเองยังทำไม่ได้ไง

กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงของจิต จิตมันจะเปลี่ยนแปลงแล้วมันจะดีขึ้น แล้วพอดีขึ้นไปแล้วนะไม่ใช่จะดีขึ้นตลอดไปนะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่ ทีนี้ไม่มีอะไรคงที่เราต้องขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรบางทีภาวนาเกือบเป็นเกือบตาย เป็นสมาธิพักเดียว หมดอีกแล้วต้องทำอีกแล้ว

ทำไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เราถึงบอกไงถ้ามึงรักษาสมาธินะสมาธิมันเสื่อมตลอดเวลา แต่ถ้าเอ็งรักษาเหตุนะ เอ็งตั้งสติไว้เอ็งมีคำบริกรรมสมาธิเอ็งจะไม่เสื่อมเลย เพราะสมาธิมาแต่เหตุไง สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาอย่างเช่น เรารักษาอุณหภูมิของเรา น้ำเราจะร้อนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราปล่อยเราไม่ดูแลไฟทำให้ไฟมันมอดไป น้ำร้อนเอ็งนะเดี๋ยวก็เย็น

เราไม่ใช่ไปดูที่น้ำร้อน เราต้องดูที่ไฟเรา ไฟคือตบะธรรม ไฟคือการตั้งสติสมาธิของเรา ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วหมั่นเพียรตรงนี้ โธ่ ทำไปเถอะ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน พุทโธไปเถอะ จะเป็นไม่เป็นขอให้พุทโธไปทุกวันๆ พุทโธไปเถอะ แต่มันจะมีแวบบ้างมีอย่างอื่นบ้างอันนี้เราก็ต้องใช้ปัญญาตะล่อม

ทุกข์ไหม จะเกิดอีกไหม เกิดมาแล้วจะลำบากอีกไหม ลำบากแค่นี้ลำบากอยู่อย่างนี้ก็ลำบาก แต่ลำบากอย่างนี้ ลำบากจะให้เห็นข้อเท็จจริง ถ้าเราเห็นข้อเท็จจริงแล้วเราปลดเปลื้องข้อเท็จจริงแล้ว เราจะไม่ลำบากอย่างนี้อีก เราจะไม่ลำบากอย่างนี้อีก

แต่ถ้าเราบอกว่านี่ลำบากแล้วเราหลบหลีกไปนะ เราจะลำบากแล้วลำบากเล่าจะซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะต้องมาทุกข์มายาก พอเรามีปัญญาตะล่อมอย่างนี้ปั๊บความเพียรมันเกิดนะ เราเองใช้อย่างนี้มาตลอด เวลามันทุกข์มันยากนะเดินจงกรมทั้งวันๆ โธ่ ใครจะไม่เพลียใครจะไม่เหนื่อย เหนื่อยมาก พอมันท้อแท้ก็หลวงปู่มั่นทุกข์กว่ามึงนะ พระพุทธเจ้าทุกข์กว่าเราอีก มันขยันขึ้นมาพักหนึ่งก็สู้มันมาอย่างนั้น

ทุกข์ยากมาก แต่อาศัยปลอบใจตัวเองเอากำลังใจให้ตัวเอง เราจะปลุกปลอบ แล้วเราอยู่กับครูบาอาจารย์มันเป็นคนช่างสังเกต เราจะรู้ว่าเวลาหลวงตาท่านหนุนท่านให้กำลังใจลูกศิษย์อย่างไร ไปอยู่องค์ไหนท่านดูแลลูกศิษย์อย่างไร แล้วเราเอาเทคนิคนั้นเทคนิคที่ท่านสอนนั่นแหละ เอามาเป็นคติแล้วเราค่อยเอาตรงนั้นมากระตุ้นเราอีกทีหนึ่ง เรากระตุ้นตัวเราตลอด ถ้าไม่กระตุ้นมันนอนใจ

แล้วเวลามันทุกข์ยาก นิพพานมันจะสุดเอื้อมนะ ชาตินี้มันจะถึงหรือ มันก็บ่นไปเรื่อย ถึงไม่ถึงกูก็ทน อัดไปเรื่อย บางทีมันก็คิดนะ มันจะไปได้หรือ มันจะเป็นไปได้หรือ คิดเหมือนกัน ทุกคนคิดอย่างนั้น แต่ก็ดันมันไป ดันมันไป มันก็เป็นเปาะๆๆ ไป แล้วเห็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์เราปฏิบัติมาอารมณ์ความรู้สึกที่เราเป็นท่านเป็นมาทั้งนั้น แล้วมันเป็นที่ว่าประสบการณ์มันมากน้อยแค่ไหนด้วย

ถ้าประสบการณ์มันมาก จริงๆ นะ เวลาลูกศิษย์มาถามปัญหาส่วนใหญ่ เราติดมาทั้งนั้นเราเป็นมาหมดเลย เพียงแต่ว่าเราไม่ได้พูดออกมา เวลาเขาฟังเราพูด เพราะเวลาเขาทำเขาทุ่มเทมากนะ แล้วพอมาฟังเราพูด หลวงพ่อฟังผมก่อนสิผมยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ก็คิดว่าของเรามันใหญ่โตไง

โธ่เอ๋ย ของเอ็งมันเด็กเล่นขายของ แต่ก็ฟังอยู่แล้วพยายามจะให้กำลังใจ ให้กำลังใจเพราะว่าประสาเราโอกาสไง ถ้าคนไหนยังปฏิบัติอยู่ใครยังมีความขวนขวายอยู่ ยังมีการกระทำอยู่ เหมือนเกมส์ฟุตบอลยังไม่เป่านกหวีด เรายังมีโอกาสสู้ตลอดเวลา ถ้าเรามีความตั้งใจมีความจงใจ เรามีโอกาสอยู่ เรามีความสู้อยู่

ฉะนั้นเหมือนพวกเราเห็นไหม ถ้ามีใครปฏิบัติอยู่หลวงตาท่านจะไปส่งเสริมมากนะ ที่ไหนปฏิบัติที่ไหนทำจริงท่านพยายามส่งเสริมมาก ส่งเสริมเพื่อให้เราปฏิบัติได้ ทีนี้เราต้องทำจริงของเราเนาะ มีอะไรว่ามา พูดตั้งเยอะแล้วมีอะไรสงสัยไหม วันนี้เนื้อๆ เลย เพราะว่าปัญหามาถามเมื่อ ๒-๓ วันนี้เต็ม เต็มที่เลย

โยม : ไปถ้ำพระภูวัว วันที่ ๑๐ ที่ผ่านมามีไปงานฉลองพิพิธภัณฑ์เจดีย์หลวงปู่ตื้อ ที่นครพนม ก็เลยถือโอกาสไป

หลวงพ่อ : เขาฉลอง เขาเปิดเจดีย์แล้วหรือ เจดีย์หลวงปู่ตื้อเขาเปิดแล้วหรือ

โยม : (เสียงพูดไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : เขาสร้างไง เรารู้อยู่ เพราะหลวงตาพูดถึงบ่อย หลวงตาท่านบอกไปดูหลวงปู่ตื้อ เพราะอะไร เพราะเวลาหลวงตานี่นะ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วพระองค์ไหนกลับไปกราบหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นรับอย่างไร หลวงตาตอนนั้นพรรษาท่านน้อยกว่าแล้วท่านสังเกตมาก แล้วหลวงปู่ตื้อไป โอ้โฮ หลวงปู่มั่นนี่ เพราะอย่างที่ว่ามันอยู่ที่จริตไง เพราะตอนที่อยู่ที่ถ้ำเชียงดาว พอหลวงปู่มั่นท่านชราภาพแล้วไม่ใช่ชราภาพมากแต่ก็อายุ ๗๐-๘๐ แล้ว ตอนนั้น ๗๐

ท่านนั่งสมาธิท่านจะเห็นอะไรเป็นนิมิต แล้วถ้าเป็นปกติอย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น ท่านอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ วันนั้นกลางคืนจิตมันส่งออกมันเห็น จิตมันไปเห็นเป็นลูกมะละกอในสวน เช้าขึ้นมาไปดูจริงหรือเปล่า ชัดเจนแดงแจ๋เลยลูกมะละกอ หลวงปู่มั่นก็เหมือนกันท่านเห็นของท่านนะ

อย่างที่หลวงตาท่านเขียนในประวัติหลวงปู่มั่น ที่ถ้ำเชียงดาวหน้าผาตัดข้างบน พระปัจเจกพุทธเจ้ามานิพพาน ๓ องค์ แล้วหลวงปู่มั่นท่านเห็นของท่านหมด อย่างเช่นในถ้ำเป็นอย่างไรแล้วให้หลวงปู่ตื้อพิสูจน์ องค์อื่นไม่เข้มแข็งอย่างนั้นไง หลวงปู่ตื้อท่านก็มีกำลังใจของท่าน เพราะเราเชื่อมั่นว่าสมัยที่หลวงปู่ตื้ออยู่เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้ออย่างน้อยต้องเป็นพระอริยบุคคลอยู่แล้ว

ผู้ที่มีอริยบุคคลจิตใจจะเข้มแข็งอยู่แล้ว จิตใจมันอยู่ในสัจจะความจริง ทีนี้หลวงปู่มั่นบารมีท่านมากกว่าเพราะท่านปรารถนาพระโพธิสัตว์มา ทีนี้ท่านจะสัมผัสเรื่องนี้ได้ง่าย เวลาที่ว่าอย่างเวลาท่านปฏิบัติไปที่ว่าพระพุทธเจ้ามาเยี่ยมมาอะไรนี่ พอออกมาแล้วทางวิทยาศาสตร์

ทางวิทยาศาสตร์เชื่อไม่ได้ว่านิพพานแล้วต้องไม่มี ถ้านิพพานไม่มีนิพพานก็สูญเปล่าสิ นิพพานมีแต่มีแบบนิพพานแต่เขาไม่เข้าใจว่านิพพานคือนิพพานอย่างไร ทีนี้พอหลวงปู่มั่นไปเห็นอะไรปั๊บหลวงปู่ตื้อไปดู

ทีนี้พอหลวงปู่มั่นกลับมาที่หนองผือ เวลาหลวงปู่ตื้อท่านมาเยี่ยมมาอะไร เพราะนิสัยองอาจไง เวลาแจกอาหารทุกคนก็ต้องอยู่ใน.. โห กลัวผิด-ถูก เพราะไอ้นี่คือกรอบ ถ้าพูดถึงพวกเราออกจากกรอบแล้ว พวกเราก็จะไปตามอำนาจของกิเลส

ทีนี้กรอบที่ผิด ถ้าไปผิดที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเอาเต็มที่เลย ท่านจะวางกรอบกติกาสำหรับวงกรรมฐานในประเทศไทย ทีนี้เวลาหลวงปู่ตื้อมา เวลาแจกอาหารอยู่หลวงปู่ตื้อฉันเลย หลวงปู่มั่นถาม

“ตื้อทำไมทำอย่างนั้น”

“ก็ผมหิว”

นี่ไงที่เราพูดเห็นไหม พระอรหันต์ ถึงบอกว่า หิวก็กิน ร้อนก็อาบน้ำ แต่พระอรหันต์นะไม่ใช่พวกเรา ถ้าพวกเรานะ เพราะอะไร เพราะใจไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่รู้จักหิวโดยกิเลสหิว แต่พระอรหันต์หิวธาตุขันธ์มันหิว กิเลสไม่ได้หิวด้วย

ท่านกินด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง หลวงปู่มั่นก็เลยปล่อย แล้วหลวงปู่มั่นก็เลยบอกกับพระ บอกว่า

“ใครอย่าเอาแบบอย่างท่านตื้อนะ”

ท่านตื้อประสาเราเรียกว่าท่านพ้นไปแล้วใช่ไหม ไอ้พวกปฏิบัติอยู่เอาอย่างนี้ไม่ได้นะ แต่ถ้าเป็นองค์อื่นท่านไม่ยอม ท่านไม่ให้หรอก เพราะอะไร มันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี หลวงตาท่านเห็น หลวงตาท่านจะสังเกตตรงนี้ ตรงที่ว่าใครไปหาหลวงปู่มั่น เพราะตอนนั้นหลวงตาท่านยังไม่สิ้น คนไม่สิ้นมันยังดูไม่รอบ ใครไปหาหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์เป็นอาจารย์ เวลาต้อนรับใคร องค์นั้นต้องมีอะไรพิเศษ พอพิเศษท่านจะเก็บข้อมูลไว้ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง พอเวลาหลวงปู่ตื้อท่านไปสร้างวัดนั่นแหละหลวงตาไปเยี่ยมไง มหามาเหรอ มหาฟังเทศน์นะ เทศน์หลวงปู่ตื้อ เต็มที่เลย ของจริง แล้วหลวงตาท่านบอกว่า เทศน์หลวงปู่ตื้อเป็นยอดธรรมะ! เป็นยอดธรรมะ!

ยอดธรรมะเพราะอะไร เพราะเวลาคนเกิดมามันเกิดมาจากอวัยวะเพศทั้งนั้นระหว่างหญิงกับชาย แล้วเวลาหลวงปู่ตื้อท่านเทศน์ตรงนี้อย่างเดียวไม่ไปที่อื่น ไม่ไปที่อื่นเลย ประวัตินี้ร่ำลือมาก จะเรื่องอวัยวะเพศสองฝ่ายเท่านั้นไม่ไปที่อื่นเลย แล้วย้ำแล้วย้ำเล่าแล้วพูดชัดเจนพูดแบบลูกทุ่งเลย หลวงตาท่านบอกว่า “ยอดธรรม”

แต่พวกเราฟังกันนะยิ่งมารยาทสังคมฟังไม่ได้เลยหาว่าพระองค์นี้พูดจาไม่ไพเราะ แต่หลวงตาบอกยอดธรรม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตใจมั่นคง จิตใจกล้าหาญ จิตใจกล้าแสดงออกโดยตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น แต่พูดไปเรียบๆ เคียงๆ ไม่กล้าเข้าสู่จุดความเป็นจริงของการเกิดภพชาติ

แต่คนที่รู้ตามข้อเท็จจริงแล้วสามารถกล้าพูดตามข้อเท็จจริงนั้นสังคมไหนจะตราหน้าให้มันตรา ธรรมะยกย่องสรรเสริญ แต่สังคมมันตราหน้า แต่ถ้าหัวใจเราไม่มั่นคงมึงกล้าฝืนกระแสสังคมไหม หลวงตาท่านเล่าให้ฟังท่านไปดูท่านบอกว่าพระธาตุเป็นสีเหลืองทองคำ

เราไปดูมาทีหนึ่งแต่ยังไม่ได้เห็น ถ้าขึ้นพิพิธภัณฑ์วันหลังจะไป ว่า ๓๐ จะไป จะไปอุบลฯ ทางนั้นแหละ เพราะ ๓๐ จะไปเปิดโลกหลวงตา จะไปก่อนนะแล้วไปเวียน ๓๐ พฤษภาคมไง หลวงตาเปิดโลกธาตุ วัดป่าบ้านตาด จะไป แต่ต้องล็อกเวลาไปทางโน้นก่อน

โยม : ตรงถ้ำพระครับ อยากให้อาจารย์ไปดู

หลวงพ่อ : เขาเล่าให้ฟังหรือ

โยม : เปล่าครับ ไม่ได้เล่า เขากล่าวถึงกันครับพระพุทธรูป

หลวงพ่อ : พระพุทธรูป หน้าถ้ำพระนั่นน่ะไปติดน้ำ น้ำป่าท่วมที่นั่นจะไปตายที่นั่นหลายที เราจะไปตายตรงนั้น ๒ รอบ ๓ รอบ แล้วเวลาคนพื้นที่เก่าไปดูเห็นแล้วตกใจ เราไปอยู่แถวนั้นร่ำลือมากนะ เพราะว่าสมัยนั้นมันไม่มีทางเข้า เดินทั้งนั้นแล้วสหายเต็มไปหมด

ยิงกันยิงกันแถวนั้น เราอยู่แถวนั้น สหายนี่ลูกศิษย์เราเลย ถ้ำภูวัว แล้วก็ภูลังกา จากภูลังกามาเข้าภูพานไง แถวนั้นเป็นเส้นทางภูพานออกไปทางภูควายทางลาว มันเป็นเส้นขนานของเขา เป็นเส้นทางลำเรียงของสหาย

โยม : ส่วนใหญ่หน้าร้อนก็ร้อนมาก

หลวงพ่อ : ร้อน มันมีห้องแอร์ เวลาเราไปเราไปที่ห้องแอร์ เพราะมันเป็นผลาญหินจะร้อนมาก

โยม : ท่านอาจารย์ครับตอนนั้นผมวาดภาพว่า ถ้ำพระภูวัวจะเป็นถ้ำคล้ายๆ ภาคกลาง เข้าใจว่าอย่างนั้นครับ

หลวงพ่อ : คิดเหมือนเรา นี่เขาเรียกว่าเป็นเพลิงหมาแหงน ผู้ที่อยู่ภูมิประเทศเป็นหินทราย หินทรายไม่ใช่หินปูน หินปูนมันจะมีถ้ำ หินทรายมันอยู่ไม่ได้มันพัง หินทรายมีแต่เพลิงหมาแหงนอะไรนี่ โอ้โฮ เขาบอกว่าถ้ำยาวเรานึกว่าใหญ่โตนะเราไปเที่ยวมาหมด ที่หลวงปู่ขาวอยู่ก็แค่ยาวๆ มันเป็นหินทราย

ประเพณีวัฒนธรรมเราไปศึกษาแล้ว อื้อหือ ตอนนั้นเราไปเรายังเสียดาย เสียดายที่เราไม่ได้ไปทางอีสานเหนือทางนั้นไง เราจะไป เพื่อนเป็นภูไท

“ไอ้หงบมึงอย่าไปนะ กูภูไทกูยังไม่ไหวเลย มึงไปมึงกินได้อย่างไร”

หนูมาตัวเขียวๆ เลยต้องแขวนให้เขียวก่อน หนูมาเขาไม่กินเขาจับหนูมาได้เขาจะแขวนไว้รอให้มันเน่าให้มันเขียวก่อนแล้วเอามาต้มทั้งตัวเลย เขาว่าแซ่บ แล้วก็มาต้มถวายพระอย่างนั้นตักขึ้นมา หนูทั้งตัวเลย แล้วเราเจอ เราไปเจอพวกมือลิง เราตักแล้วสะดุ้งเลยนะ

เพราะเราไปเอาจริงไง จนแถวนั้นบิณฑบาตลุยได้หมดทุกอย่าง กินได้ทุกอย่างกับเขา เพราะเราไปไหนประสาเราต้องอยู่ได้ อยู่ได้กินได้แล้วภาวนามากกว่าเขา ๒ เท่า เหมือนผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงต้องทำงานมากกว่าผู้ชาย ๒ เท่าผู้ชายจึงยอมรับว่าผู้หญิงเก่ง

อันนี้คนภาคกลาง เขาหาว่าอ่อนแอ ไม่เหมือนคนเข้มแข็งเหมือนทางอีสาน เราต้องภาวนา ๒ เท่า เขาถึงยอมรับว่าเอ็งเอาจริง เราต้อง ๒ เท่า เยอะ แถวนั้น ไอ้งาเก(ช้าง) ไปแอบดูมันกลางคืนไม่ต้องภาวนากัน เพราะเราไม่นอนกุฏิ เรานั่งภาวนากัน หน้าหนาวก็ไปธุดงค์ใช่ไหม ผ้า ๓ ผืนปิดไว้หมดเลยหนาวมาก

แล้วคิดดูสิ อีสานหนาวขนาดนั้น ทีนี้พอนั่งนานๆ มันก็จะออกจากภาวนาก็คลายตัวออกก็เอาผ้าออก ทีนี้พอเอาผ้าออกเสียงผ้ามันสะบัด ช้างมันมากินมันมาแอบอยู่แถวนั้นแล้วไม่รู้ พอเสียงคนขยับมันร้อง แปร๋น!!

โอ้โฮ ความรู้สึกของคนภาคกลาง คนไม่เคยอยู่ป่า เอ๊ะ ใครมาบีบแตรรถบัสในป่าวะ เหมือนแตรแป๊นๆ เหมือนรถโดยสาร แล้วเสียงมันดังเพราะมันสงัดมาก แปร๋น!! ความรู้สึกมันคิดรู้อยู่มันเป็นช้าง แต่ว่าเสียงความเปรียบเทียบเราไง มันอยู่ที่ภูมิหลังใครก็เปรียบเทียบตามภูมิหลังของคนคนนั้น

ทีนี้พอภูมิหลังของเรา พอเสียงช้างเราคิดในใจเลย เอ๊ะใครมาบีบแตรรถบัสในป่าวะ แล้วพอเช้าขึ้นมาฉันข้าวเสร็จก็ไปดูรอยมันเจอไปแอบดูมันประจำ ช้าง จระเข้ เสือทุกอย่างมีหมด เราอยู่แถวนั้นสู้กับมันตลอดนั่งมา ช้างเป็นฝูงนั่งหลับตาเลย หลับตาสู้มัน

โยม : หลวงพ่อ ไปนั่งขวางทางช้างหรือยังไงครับ

หลวงพ่อ : ทางซีกนี้ ทางซีกถ้ำบูชา ถ้ำยาวของหลวงปู่ขาวไง ที่หลวงปู่ขาวไปเทศน์สอนในปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานที่หลวงปู่ขาวเทศน์แล้วมีพระ ๓ องค์นั่งอยู่ แล้วมีเสือนอนอยู่ใต้แคร่ ตอนหลวงปู่ขาวจำพรรษาอยู่ที่บ้านดอนเสียด เขาเรียกถ้ำยาวตรงถ้ำบูชา หลวงปู่ขาวอยู่ที่นั่น

แล้วท่านเทศน์อยู่ข้างล่างเขาทำแคร่ไว้ไง แล้วพระ ๓ องค์ หลวงปู่ขาวเทศน์อยู่ แล้วที่ในปฏิปทาพระกรรมฐานที่เสือมันมานอนอยู่ใต้แคร่แล้วมาหยอกกันหลวงปู่ขาวก็เทศน์นะ เสือก็มาหยอกกันอยู่ใต้แคร่นั่นแหละ ถ้ำยาว เราธุดงค์ไปเราเดินรอบหมด พอถึงตรงนั้นปั๊บตรงนั้นช้างมันมาไง บนถ้ำยาวมันขี้อยู่ ขี้ช้างเป็นเรื่องปกติ แล้วเราไปเที่ยว

พระก็บอกว่า “ไอ้หงบ มึงกลัวไหม” “ไม่กลัว” เรานั่งขวางตรงนั้นแหละ นั่งขวางทางมันเลย แล้วพวกอาจารย์เสถียรเขาอยู่บนเขากันไง แล้วตอนเช้าขึ้นมา เขาพูดเวลาเราอยู่ด้วยกันคำพูดคำแรก ตอนเหตุการณ์นั้นจะพูดจากความรู้สึก ท่านบอกเลยนะ “เมื่อคืนกูนอนไม่หลับเลย กูกลัว กูนั่งเฝ้ามึงกลัวช้างจะเหยียบหัวมึง” ไอ้สำหรับเรานะ พุทโธๆๆ

คนพื้นที่นะเขารู้กัน ประสาเราพระด้วยกันมันท้าทายกัน แล้วท่านเป็นหัวหน้าเป็นพระผู้ใหญ่ ท่านบอกเมื่อคืนท่านนอนไม่หลับเลย ท่านคอยลุ้นว่าเราจะโดนช้างเหยียบหรือไม่โดนช้างเหยียบ ก็เที่ยวมาด้วยกัน ท่านพาเราธุดงค์ไปทั่ว แต่ทีนี้ว่าต้องทำความเข้มแข็ง ๒ เท่า

ใหม่ๆ ท่านจะลองเราก่อน “เอ็งเดินทั้งวันได้ไหม” “ได้ครับ” ท่านก็เดินจากถ้ำพระไปชแนน ไปกลับนะฉันเสร็จแล้วไป วิ่งไปแล้ววิ่งกลับกลับถึงวัด ๔ ทุ่ม เขาลองว่าเราทนไหม สบายมาก ตั้งแต่นั้นมานะจะไปไหนไปด้วย เอาเราไปด้วยตลอด เครื่องหลังบริขารขึ้นเครื่องหลังแล้วเข้าป่าลึกไปเลย

เวลาเข้าไปในป่าลึก ข้างล่างมันเป็นป่าเป็นทุ่งมันจะมีน้ำแฉะๆ แล้วพระอาทิตย์ขึ้นข้างบน ข้างบนเผามาร้อนมากข้างล่างนี่เย็น ระหว่างความร้อนกับความเย็นเราอยู่ตรงกลาง โอ้โฮ เที่ยวไป ต้องเอาผ้าโพกหัวไว้ เดินไปลุยน้ำไป แต่ข้างบนแดดมันเผา แล้วเราอยู่ตรงกลางระหว่างความร้อนกับเย็นกระทบกัน ปีนหน้าผาปีนไปทั่ว ประสบการณ์ชีวิต

โยม : พูดถึงน้ำหน้าฝน น้ำคงท่วมเลย

หลวงพ่อ : หน้าฝนไปไหนไม่ได้เลย ตะไคร่น้ำมันจะลื่น ภูเขาทั้งภูเขาเลยเอ็งเดินไม่ได้เลยไหลปึ้ด เราจะไปตายตรงนี้ ๒-๓ หน มือนี่ พั้บ! มันเป็นข่อยดาน ต้นข่อยขึ้นอยู่ที่หน้าผา ปึ้ด! ห้อยต่องแต่งๆ “เฮ้ย มึงจะเอากูลงอย่างไรก็เอาลงเถอะ มึงจะเอากูลงอย่างไรก็แล้วแต่พวกมึงแล้ว” เขาก็จัดการเอาเราลงจนได้

ถ้าวันนั้นเราหลุดลงไปนะ ก็แหลก เราจะตายเยอะมากเลย ด้วยความไม่รู้ บางทีไม่รู้ คิดว่าไปได้ มันเป็นตะไคร่น้ำเห็นไหมในหินมันจะดำๆ อย่างนั้น อย่าให้โดนฝนเชียวนะ โอ้โฮ ลื่นฉิบหายเลย ปึ้ดไปเลย บางทีเดินๆ อยู่ ตอนเช้าจะลงมา มันไหลมันออกนอกทางเขาจะเอาหินขัดไว้เป็นทางแดงๆ เห็นไหมนั่นทางเดิน ถ้าหน้าฝนอย่าออกนอกทาง ถ้าออกนอกทางเสร็จ ทีนี้พอบางทีมันพลาด พอมันพลาดไปหัวเข่าเราลงนะเราจะประคองบาตรไว้ ไหลไปเรื่อยๆ เป็นเจสกีเลยไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหยุด พอหยุดเสร็จแล้วกูค่อยๆ หาทางออก โอ๊ย ประสบการณ์ในป่า

โยม : มีพระท่านต้องไปเสียชีวิตที่นั่นกันเยอะ

หลวงพ่อ : เยอะ สมัยเราอยู่ เราเห็นคาตา ๒-๓ องค์ อยู่ด้วยกันแล้วตายต่อหน้า แล้วเราก็จะตายหลายที มาลาเรียขึ้นสมอง ขึ้นกระเพาะขึ้นหมด มาลาเรียนี่ โห เป็น.. ก็มาลาเรียตายเพราะมาลาเรียไง ตายกันเห็นๆ นี่แหละ บางทีเป็นมาลาเรียทั้งวัดเลย พระ ๗-๘ องค์นอนแผ่กันเพราะมันช่วยตัวเองกันไม่ได้ทุกคน แล้วใครจะช่วยใคร

เป็นมาลาเรียหมดเลย เป็นกันอยู่อย่างนั้นเพราะสมัยนั้นยายังไม่มี แบบว่าทางการยามันยังไม่ค่อยเจริญ แล้วอย่างพวกเราสมัยนั้นมันเป็นที่ครูบาอาจารย์เข้มแข็งด้วย ฉะนั้นมีปัญหาปั๊บทุกคนจะแสดงถึงความเข้มแข็งคือจะต้องให้เด็ดเดี่ยวกว่าสมัยครูบาอาจารย์ไง

เพราะตอนนั้นกำลังแบบว่าสังคมการปฏิบัติกำลังเจริญรุ่งเรืองคือพวกเราพยายามจะแบบว่าปฏิบัติให้มันพ้นกันไง คือในสังคมเขา เหมือนไม้ดอกไม้ประดับอะไรที่กำลังขึ้นตลาดจะแพงมาก อันนี้สังคมกำลังตื่นตัวเรื่องปฏิบัติ โอ้โฮ มันฮือฮามาก

ฉะนั้นใครทำต้องมีอะไรที่ว่าเข้มแข็งแสดงความเข้มแข็งนี่สุดยอดมาก แล้วเราไปอยู่ในสังคมอย่างนั้น เราถึงบอกว่าเราพูดบ่อยว่าเรามีวาสนา เวลาเราธุดงค์ไปเราไปเจอหมู่คณะดี แต่กว่าจะเจอดีนะก็โดนหลอกโดนอะไรเยอะแยะไปหมด คือหลอกใช้เรา เอาเราไปใช้อย่างโน้นบ้าง อย่างนี้บ้างแล้วแต่คนจะพาไป

แต่พอเราเข้าไปเจอหมู่ที่ดี หมู่ที่ดีหมายถึงว่า ปฏิบัติๆๆๆ ไง คือนั่งสมาธิเดินจงกรมคุยกันแต่เรื่องจะเอาไม่คุยเรื่องนอกลู่นอกรอย ไปเจอสังคมที่ดีเหมือนกับสังคมที่ดีเขาจะชักนำไปในทางที่ดี ถ้าไปเจอสังคมที่ไม่ดีเขาก็อย่างว่าแหละ ปฏิบัติ เฮ้ย เห็นเลขหรือเปล่าวะ เฮ้ย ไปทางโน้นดีกว่า มันก็ทำให้เราเขวไปหมด

แต่สังคมนี้แบบว่าสังคมดีเพราะหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่จวน ผู้นำที่ดีวางรากฐานที่ดีไว้แล้วเราไปได้รากฐานนี้มา ถ้าเราไปเจอผู้นำที่ไม่ดีเขาวางหลักไว้ไม่ดีนะ อย่างหลวงปู่มั่นวางหลักไว้ดีมาก วางหลักไว้ให้พวกเราเคารพบูชากัน ให้ผู้ใหญ่ได้ดูแลผู้น้อย ดูสิ คำพูดนี่มันฝังใจเรา อย่างที่ท่านพูดกับหลวงตา

“ท่านมหานี่พรรษามากแล้ว ไม่ต้องเข้ามาเอาบาตรมาอุปัฏฐากผม อยากให้พระเด็กๆ พระเล็กๆ น้อยๆ ให้มาฝึกไว้ เพื่อให้มันมีข้อวัตรประจำหัวมันไป มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมัน”

โอ้ ท่านพูดนะ หลวงปู่มั่นท่านเอาชีวิตท่านเป็นครูเป็นเครื่องสอนเป็นสิ่งที่สอนนะ เราฟังเราไปที่ไหนก็แล้วแต่ เราชอบประวัติศาสตร์ ไปที่นี่ปั๊บเราจะไปฟังอย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าไปอยู่บ้านผือ เช้าขึ้นมาเขาจะพยายามรีบเอาตำแหน่ง ไปที่กุฏิเพื่อถวายน้ำอุ่นเพื่อล้างหน้าหลวงปู่มั่น

หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าท่านไปตอนไหนก็ไม่ทันเขา ไปตีสอง เห็นหลวงปู่อ่อนนั่งอยู่แล้วรออยู่แล้ว ท่านก็ไปตีหนึ่ง ตีหนึ่งไปก็เห็นท่านนั่งรออยู่แล้ว ท่านไม่ทันเขาสักที นี่หลวงปู่ฝั้นท่านเล่า แล้วท่านเป็นโรคท้องร่วง ท่านเสียใจมากเพราะว่าท่านไม่ทันหมู่ ท่านเลยนั่งเสียสละชีวิตเลย นี่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง แล้วพอนั่งไปนั่งตลอดรุ่งเลย

พอ ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มจิตมันลง พอจิตมันลงมันเห็นกวางหลุดออกไปจากตัว กวางคือโรคภัยไข้เจ็บ แต่นี่มันเห็นโดยนิมิต เห็นกวางหลุดออกไปจากตัว แล้วท่านนิ่งอยู่อย่างนั้นหายไปเลย จิตมันลงหมด จนถึงเวลาบิณฑบาต พระบิณฑบาตกลับมาท่านก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น พระรู้กันเพราะในวงกรรมฐานเขาก็ไม่ปลุก เสร็จแล้วพระท่านก็ฉันข้าวเสร็จ พอ ๑๐ โมงท่านถึงออกมา

ตั้งแต่วันนั้นมาโรคประจำตัว ธรรมดาท่านเป็นโรคประจำตัวคือต้องเสียดท้อง ท่านไปไหนท่านบอก ท่านธุดงค์นะเวลาโรคมันกำเริบขึ้นมา ท่านต้องปูผ้านอน นอนอยู่ข้างทางก่อน คือเดินไปไม่ไหว นอนจนความปวดระงับ แล้วท่านถึงจะลุกเดินไปต่อ ท่านเป็นอย่างนี้มาตลอด เพราะท่าน “ธรรมโอสถ”

ไปดูพิพิธภัณฑ์ประวัติหลวงปู่ฝั้นสิ มันจะมีดินเผาไอ้รูปปั้นมันจะมีรูปนี้ด้วย รูปที่กวางออกไปจากตัวท่าน เพราะหลวงปู่ฝั้นท่านชอบเอามาเล่าบ่อยคือเกร็ดที่ท่านเอามาสั่งสอนลูกศิษย์ไง แล้วลูกศิษย์จำได้แม่น เขาก็เลยทำเป็นจิตรกรรมฝาผนังไว้ที่เจดีย์หลวงปู่ฝั้น หัวหน้าที่ดี แล้วยุคคราวอย่างนี้มันจะหมดไปเรื่อยๆ หมดไปเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะว่าลูกศิษย์ลูกหามันสร้างบารมีมากันไม่พอ

บารมีไม่พอมันไม่มีจุดยืนไม่มีหลักการ พอตัวเองหัวหน้าผู้สอนไม่มีหลักการ คนที่ฟังมันจะฟังสักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหลวงปู่มั่นท่านเอาชีวิตท่านเป็นแบบอย่างเลยหลักการจุดยืนท่านมั่นคงมาก

ทีนี้คนที่เข้าไปศึกษามันจะรับหลักการความมั่นคงอันนี้มา ชีวิตเป็นแบบอย่าง ชีวิตพระพุทธเจ้าอันดับ ๑ เลย เราถึงเคารพบูชาหลวงปู่มั่นมาก อย่างพวกเราปฏิบัติแล้วอยากจะผ่อนคลายบ้างไหม อยากจะออกมา หลวงปู่มั่นเข้าป่าก็เข้าป่า อยู่ป่าก็อยู่ป่าไม่ปรารถนาอะไรเลย

หลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ เวลาคิดถึงร้องไห้ทุกที เราเจ็บไข้ได้ป่วยเราต้องการอุปัฏฐาก หลวงปู่มั่นท่านเจ็บไข้ได้ป่วยท่านเข้าป่าลึกเข้าไปอีก ปกติทานอาหารธรรมดา เวลาป่วยกินข้าวกับเกลือ ไอ้เราป่วยนี่ต้องหาอาหารนะเพื่อจะฟื้นฟูร่างกาย ท่านยิ่งป่วยท่านยิ่งกินข้าวเปล่าเลย

แล้วลูกศิษย์เห็นกันมารุ่นๆๆ ต่อไปนี้พอพูดอย่างนั้นไปก็หาว่าเอามาโฆษณากัน แต่ไม่ทำจริงจังกันไง เราไปอยู่กับใครมา อยู่กับใครมา เมื่อวานเราก็พูดเรื่องนี้พูดกับพวกโยม เราพูดเรื่องนี้เหมือนกัน บอกว่าเราเกิดมา เราเกิดมาพบครูบาอาจารย์บุญกุศลของเรามหาศาลเลย

แล้วต่อไปมันจะเรียวแหลมไป มันไม่ใช่เรียวแหลมที่นี่นะ มันเรียวแหลมที่หลวงปู่มั่นท่านพูดของท่านเองว่าท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ หลวงปู่มั่นท่านต้องมีต้นทุนของท่านมาท่านต้องสร้างพันธุกรรมทางจิตของท่านต้องดีมากมา

หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์พันธุกรรมทางจิตมันดีมาหมด แล้วเวลามาเกิดมาในปัจจุบัน เวลาเขาพูดว่าทำไมครูบาอาจารย์เราเกิดเป็นลูกชาวนา ไปเกิดบ้านนอกคอกนา ถ้าเกิดเป็นลูกเศรษฐีมันก็ไม่ได้บวชสิ ต้องเกิดเป็นลูกชาวนาเพราะชาวนาเขาสนใจในเรื่องศาสนามันมีโอกาสได้บวชไง แล้วบวชขึ้นมามันปูพื้นฐาน แต่เขามองแต่ความทุกข์ยาก ยากจนในชาติปัจจุบัน

เขาไม่มองว่าพันธุกรรมที่จิตที่มันสร้างมา ว่าหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มั่นท่านสร้างมาท่านเป็นจักรพรรดิเป็นมหาอำมาตย์ท่านเป็นมาเยอะ คนไม่เห็นคนไม่รู้ ถ้าไม่มีตรงนั้นไม่มีอะไรจิตใจไม่เป็นอย่างนี้ หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่เสาร์

หลวงปู่เสาร์ดูผู้อุปัฏฐากสิ ราชนิกุลทั้งนั้นเลยนะหลวงปู่เสาร์ ดูสิ เจ้าคุณอุบาลีเห็นไหม ใครอุปัฏฐากราชนิกุลทั้งนั้น พวกในวังทั้งนั้นเลย แล้วถ้าไม่มีบารมีเขาจะเคารพนับถือไหม แล้วเราบางทีมันก็สะท้อนใจอันหนึ่งว่ามันก็จะจางไปๆ แต่มันจะจางไปเรื่อยๆ นะ

เพราะว่าวุฒิภาวะต้นทุนทางจิตของพวกเราอ่อนแอ จะทำอะไรด้วยฉาบฉวย จะเอาแต่ความดีไวๆ ไง จะให้เขายอมรับกันไวๆ แต่ไม่หรอก

อย่างเราทำเราไม่เคยปรารถนาอะไรเลยนะ เราทำความดีเพื่อความดีเพื่อรอวันตายไง มึงจะดีขนาดไหนเขาจะส่งเสริมขนาดไหนมึงก็ตายทั้งนั้น ทำไว้กับโลกแล้วเราก็ตายไป เนาะ เอวัง